ยาโด๊ปสร้างพลังเซ็กส์ราคาแพง ไม่ได้ประโยชน์เท่ากับการออกกำลังกาย

ถ้าคุณชอบท่องอินเตอร์เน็ต หรือค้นหาสิ่งของที่ตัวเองอยากได้ตามเว็บไซต์ อาจมีคีย์เวิร์ดบางคำที่ทำให้คุณได้สัมผัสกับยาโด๊ปมากกว่า 100 ยี่ห้อ และแต่ละยี่ห้อบรรยายสรรพคุณได้ถึงใจคนที่ไม่มีปัญหาทางเพศ แต่โฆษณายาโด๊ปเพิ่มพลังชายเหล่านี้ มักจะสร้างความหวังให้ชายวัย 40 และพวกเขาอยากลอง! แต่พวกเขากลับมองข้ามยาโด๊ปที่สามารถผลิตขึ้นได้เองผ่าน “การขยับออกกำลังกาย”

โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายที่ติดบุหรี่ หรือสูบบุหรี่จัดวันละซอง ตอนที่คุณอายุ 20 –  36 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่คุณมีความหฤหรรษ์ในกิจกรรมทางเพศอย่างสมใจ แต่สิ่งที่คุณจะสังเกตได้จากความสุขตามสภาพเพศของคุณก็คือ มันเสร็จเร็ว! และโดยเฉพาะเมื่อสิงห์อมควันอย่างคุณกำลังจะย่างก้าวเข้าสู่วัย 40 คุณจะเริ่มรู้สึกได้เลยทันทีว่า สุขภาพทางเพศของคุณกำลังเปลี่ยนไป เพราะจากที่เคยเสร็จเร็ว ในบางครั้งมันอาจจะไม่เสร็จเพราะอ่อนปวกเปียกเสียก่อน หรือบางครั้งคุณอาจจะเสร็จทั้ง ๆ ที่มันอ่อนแอไม่แข็งแกร่งอย่างที่เคย แน่นอนว่าชายที่สูบบุหรี่จัดทุกคนเมื่อก้าวย่างเข้าวัย 40 มักจะประสบกับความเสื่อมทางเพศ แข็งยาก เสร็จเร็ว หรือบางทีแข็งแป็ปเดียว แต่แค่หันไปขยับหมอนข้างออกให้พ้นทาง มันก็กลับอ่อนปวกเปียก และต่อให้แฟนหรือใครช่วยอย่างไร มันก็เหมือนจะด้านชาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ท้ายที่สุดคุณจะนอนอารมณ์เสียทั้งคืน และเกิดเป็นความวิตกกังวลกับโอกาสที่จะมีกิจกรรมทางเพศครั้งต่อไป

การเริ่มขยับออกกำลังง่ายกว่าการเลิกสูบบุหรี่

นักสูบทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า ปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากใบยาสูบในมวนกระดาษขนาด 7.1 และเผาสูดควันมันจนหมด 20 มวนต่อวัน หรืออาจจะมากกว่า พวกเขาอาจทำใจยอมทนทุกข์ เมื่อความสุขทางเพศเริ่มหมดไป เพราะแค่คิดว่าจะเลิกสูบบุหรี่ มันก็เป็นอะไรที่พ่ายแพ้อย่างราบคาบ บางคนลงนามเลิกบุหรี่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลทุกปี แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเลิกสูบบุหรี่ได้ แน่นอนการจะทำให้คนติดบุหรี่มามากกว่า 10 ปี เลิกบุหรี่เพื่อให้กิจกรรมทางเพศเป็นปกติเหมือนเดิม อาจจะยากกว่าอะไรทั้งหมด

มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ชัดว่า การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นอวัยวะสืบพันธุ์ เมื่อสมองกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศ หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่า การวิ่งบนลู่ในฟิสเนส หรือการปั่นจักรยานวันละเกือบ 5 กิโลเมตรทุกวัน จะช่วยให้สุขภาพทางเพศดีขึ้นได้ สิงห์อมควันบางคนคิดว่า เลิกบุหรี่ยังจะง่ายเสียกว่า แต่ในความเป็นจริง คุณแทบจะทนไม่ได้ถึงชั่วโมง ถ้าไม่มีซองบุหรี่อยู่ในกระเป๋ากางเกง

ถ้าคุณเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ จงหันมาออกกำลังกายและมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ บางคนกังวลกับรูปแบบการออกกำลังกาย จนล้มเลิกแผนการตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร (เหงื่อยังไม่ออก ยกเลิกเสียแล้ว)

ไม่จำเป็นต้องกังวลกับรูปแบบการออกกำลังกาย

แค่คุณหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองขยับอย่างต่อเนื่องนาน 20 นาทีต่อวัน เอาง่าย ๆ หาตั่งไม้เตี้ย ๆ มาสักตัว แล้วก้าวเท้าขึ้นลงติดต่อกันนานยี่สิบนาทีหรือมากกว่าทุกวัน คุณจะพบว่าสุขภาพร่างกาย รวมถึงสุขภาพทางเพศของคุณดีขึ้น

ในสามวันแรก คุณอาจจะเหนื่อยและท้อแท้ เพราะมันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากความเหนื่อยล้า และเหงื่อที่แผ่นหลัง แต่หลังจากหนึ่งอาทิตย์ที่คุณออกกำลังกายทุกวัน คุณจะรู้สึกว่าเดินขึ้นบันไดชั้น 3 โดยที่คุณหายใจหอบน้อยลง และมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อมีโอกาสได้ทำกิจกรรมเข้าจังหวะทางเพศ คุณจะรู้สึกปวดขาและประหลาดใจว่าอารมณ์ถึงที่สุดของคุณมาช้ากว่าเมื่อเดือนก่อน

ประโยชน์ของความเหนื่อยหอบ

เพราะการขยับออกกำลังกาย “เหมือนอย่างที่ สสส. ว่า” ช่วยเสริมสร้างระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น แน่นอนปัญหาลูกชายอ่อนปวกเปียกทั้ง ๆ ที่กำลังออกศึก จะไม่เกิดขึ้นกับคุณอีกต่อไป คุณต้องเข้าใจว่าความเป็นชายจะแข็งแรงหรืออ่อนแอนั้น ขึ้นอยู่กับการไหลเวียนของโลหิต ไม่ได้พึ่งพาแค่สื่อที่ปลุกเร้าทางเพศเท่านั้น

และไม่ใช่แค่ผู้ชายที่โด๊ปร่างกายด้วยการออกกำลังเพื่อสุขภาพทางเพศเท่านั้น ผู้หญิงก็สามารถเสริมสร้างสุขภาพทางเพศของตัวเองได้ด้วยการขยับเข้าฟิสเนส มันจะทำให้พวกเธอถึงจุดสุดยอดถี่ยิ่งขึ้นในหนึ่งกิจกรรมทางเพศ เพราะการออกกำลังเบา ๆ อย่างต่อเนื่องแบบที่ผู้หญิงชอบ เช่น การทำโยคะ ช่วยให้พวกเธอมีพลังมากขึ้น และแน่นอนกล้ามเนื้อที่มีพลัง จะช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผู้ชายวัยเลย 40 โปรดปราน

การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ขอแค่ให้ได้ขยับต่อเนื่องจนเหนื่อยหอบ! นอกจากจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคร้ายที่เฉียบพลัน และโรคเรื้อรังจากพฤติกรรมที่ตามใจตนเองแล้ว ผลที่ได้จากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังช่วยให้ชีวิตของคุณสามารถก้าวต่อไปพร้อมกับความสำเร็จได้ เพราะคุณรู้สึกตัวเบาและสมองโล่งในทุกเช้าที่คุณเดินเข้าห้องทำงาน

สำหรับใครที่หยุดบุหรี่ไม่ได้ จงหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง แม้เรื่องสุขภาพทางเพศจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมายสำหรับคุณ แต่อย่างน้อยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับปอดของคุณแข็งแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน และแน่นอนเซลล์กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเหล่านั้น จะสามารถเอาชนะเซลล์ที่กลายพันธุ์ (มะเร็ง!) ได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นยาโด๊ปราคาขวดละ 3,500 บาท คงไม่มีประโยชน์ยั่งยืนเท่ากับการเดินขึ้นลงบันไดแบบไม่หยุดพักนาน 20 นาทีต่อวัน 

เลือกกินเนื้ออย่างไรให้มีสุขภาพดี และสามารถออกกำลังกายเผาผลาญได้หมด

ความที่พยายามเพาะกล้ามเนื้อของตัวเองให้ดูเด่นชัดมีรูปทรงที่สวยงาม และดูดีในยามเมื่อจำเป็นต้องถอดเสื้อ กล้ามเนื้อแต่ละก้อนแลดูแล้วน่าหลงใหล (ใครก็อยากจะมีกล้ามหน้าอกสวย ๆ เหมือน แซม ฮิวแกน “เจมี เฟรเซอร์ Outlander”) ไม่ต้องเป็นก้อนตะปุ่มตะปั่มเหมือนนักเพาะกาย เอาแค่ล้มแรง ๆ แล้วกระดูกไม่หักเท่านั้นเป็นพอ คนกลุ่มนี้จะขลุกตัวอยู่แต่ในฟิสเนส และพยายามออกแรงของส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อในส่วนนั้นขนาดใหญ่ขึ้น และสมสัดส่วนของคนมีกล้าม

ไขมันในเนื้อสัตว์

ถ้าจะพูดถึงเนื้อสัตว์ที่มนุษย์นิยมนำมาประกอบอาหาร เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพมากที่สุดก็คือเนื้อวัว สารอาหารมากที่สุด สามารถกินแทนข้าวได้เลยทุกวัน แต่ในคุณภาพสูงสุดของเนื้อวัวนั้นมีไขมันเลวแทรกอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนเถียงว่าเนื้อวัวเป็นเนื้อแดงไขมันเลวน้อย เพราะไม่มีก้อนไขมันให้เห็น อันนั้นก็ถูก แต่ในความเป็นจริงทุกเซลล์ของเนื้อวัวจะมีไขมันเลวแทรกอยู่จำนวนมากน้อยเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณขนาดของก้อนเนื้อ แตกต่างจากเนื้อหมูที่ถ้าเป็นเนื้อแดงจะมีไขมันเลวน้อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย สำหรับไขมันเลวในเนื้อหมู จะถูกแยกออกต่างหากจากเนื้อแดงอย่างชัดเจน แต่เนื้อแดงของเนื้อหมูจะมีไขมันน้อยกว่าเนื้อแดงของเนื้อวัว 

แต่ถ้าพูดถึงเนื้อที่ปราศจากไขมันเลวแทนที่ด้วยไขมันดี คือ เนื้อปลา (สีขาว) และโปรตีนที่ค่อนข้างสูง แต่แม้ในเนื้อปลาจะมีประโยชน์มากก็จริง แต่ไม่มีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มนุษย์ อีกทั้งเนื้อปลาเป็นเนื้อที่มีเซลล์ละเอียดกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู จึงทำให้คนที่กินเนื้อปลาอิ่มน้อยกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู

ถ้าใครได้มีโอกาสได้ยินสิ่งที่แพทย์แนะนำการกินเนื้อกับผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันสูง จะสามารถจับใจความได้ว่า การกินเนื้อแดงมากเกินไป จะเป็นการเพิ่มไขมันให้ร่างกาย และมันจะเข้าไปสะสมในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังมากมาย แต่ถ้าไม่กินเนื้อแดงเลยคงไม่ได้ เพราะในเนื้อแดงมีสารอาหารที่กล้ามเนื้อและระบบการสร้างเม็ดเลือดต้องการ ถ้าเช่นนั้นเนื้อแดง เนื้อขาว สมควรกินสีอะไรถึงจะดีต่อสุขภาพ

เลือกกินเนื้อที่ส่งเสริมการออกกำลังกาย

สีของเนื้อสัตว์ที่คนเรานิยมกินเป็นอาหาร คือ สีแดง (หมู, วัว) สีชมพู (ไก่) และสีขาว (ปลา) คุณสมควรจะเลือกกินเนื้อที่มีสีแดงจาง ๆ หรือสีชมพูอย่างเนื้อไก่ ซึ่งโปรตีนสูงไขมันน้อยและเซลล์เนื้อหยาบกว่าปลา แน่นอนว่าเนื้อไก่จะกินอิ่มเร็วกว่าเนื้อปลา นี่คือเหตุผลที่คนเล่นกล้ามที่เห็นตามฟิสเนสกินแต่เนื้อไก่ บางคนข้าวไม่ยอมกิน โดยกินแต่ไก่ทั้ง 3 มื้อ

สำหรับเมนูเนื้อแดงคุณอาจเลือกกินอาทิตย์ละ 2 – 3 คาบ และถ้าเลิกกินเนื้อวัวได้จะเป็นการดีที่สุด โดยเฉพาะเนื้อวัวที่ติดมันอย่างเมนูเสือร้องไห้นั้น เลิกขาดไปเลยยิ่งดี เพราะนอกจากจะไขมันสูงปรี๊ดแล้ว การย่างเนื้อที่ติดมันมากยังมีโอกาสไหม้สูง และผลที่ได้จากการไหม้ คือ สารก่อมะเร็งดี ๆ นี่เอง

ถ้าคุณเลือกกินเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย การออกกำลังกายของคุณก็จะเบาตามไปด้วย สำหรับคนที่ BMI เกิน ถ้าคุณกินเนื้อปลา 2 คาบ กินเนื้อไก่อีก 1 คาบต่อวัน และถ้าคุณทำได้! การออกกำลังกายแบบไม่หยุดเป็นเวลา 20 นาที นอกจากจะช่วยเผาผลาญพลังงานที่คุณกินเข้าไปได้หมดจดต่อวันแล้ว การขยับในเวลา 20 นาทีนั้น ยังจะสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในพุงและต้นขาของคุณได้อีกด้วย      

ต่อให้กินเนื้อปลามากแค่ไหนไขมันดีไม่ขึ้น ถ้าคุณไม่ออกกำลังกายด้วย

คุณหลายคนที่ได้ทราบผลตรวจสุขภาพประจำปีมักจะเกิดความกังวล โดยเฉพาะผลตรวจเลือดที่บ่งชี้ว่าไตรกลีเซอไรด์สูง คอเลสเตอรอลก็สูง ไขมันเลว LDL เลยมีแนวโน้มที่จะสูงตาม หรือบางคนอาจจะสูงปรี๊ดจนแพทย์สั่งยาลดไขมันให้กินก่อนนอน และคุณอาจจะมีความกังวลหนักยิ่งขึ้น ถ้ารู้ว่าไขมันดี HDL ในเลือดต่ำ แม้ไขมันเลว LDL จะไม่สูงเกินเกณฑ์ปกติ

ไขมันดี HDL มีมากในเนื้อปลา

คุณทุกคนคงทราบดีแล้วว่า ไขมันดีนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไม่มีอะไรมาเทียบเท่า แต่โชคร้ายที่แม้ไขมันดีที่ถูกสกัดผสมอยู่ในรูปของอาหารเสริม ไม่ได้ช่วยให้ปริมาณของไขมันดีเพิ่มสูงขึ้นได้ เช่นเดียวกับไขมันดีที่อยู่ในเนื้อปลา ซึ่งกรดไขมันดังกล่าวที่อยู่ในเนื้อปลา อยู่รูปที่ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถจะนำไปใช้ได้โดยตรง เช่นนั้นแม้คุณจะกินเนื้อปลาแทนข้าวทุกวัน ก็ไม่ได้ช่วยให้ไขมันดี HDL ของคุณเพิ่มสูงขึ้น แต่ข้อดีของการกินเนื้อปลาแทนเนื้อสัตว์อื่น ๆ ก็คือ ไขมันเลว LDL ที่ผสมอยู่ในเลือดของคุณจะไม่เพิ่มขึ้น

มีทางเดียวที่ไขมันดี HDL จะเพิ่มสูงขึ้น คือ การออกกำลังกาย

กรดไขมันดีที่คุณรับมันเข้าไปในร่างกาย จะเปลี่ยนรูปเป็นไขมันดี HDL ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง คุณจะต้องขยับจนเหนื่อย และไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างเป็นทางการ ขอแค่คุณขยับอย่างต่อเนื่อง เช่น ทำความสะอาดบ้าน ล้างรถ หรือตกแต่งสวนหน้าบ้านนานกว่า 20 นาที นั่นหมายถึงการออกกำลังกายเบา ๆ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้กรดไขมันดิบแปรรูปเป็นไขมัน HDL นั่นเองที่ไขมันดีในเลือดคุณจะเพิ่มสูงขึ้น มีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ เปิดเผยว่า

  • ผู้หญิงที่ออกกำลังกายอย่างหนัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระยะเวลา 10 สัปดาห์ จะมีระดับไขมัน HDL เพิ่มขึ้น 8%
  • ผู้ชายที่ออกกำลังกายอย่างหนัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระยะเวลา 10 สัปดาห์ จะมีระดับไขมัน HDL เพิ่มขึ้น 10%
  • ผู้ชายที่น้ำหนักเกินออกกำลังกายอย่างหนัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ จะมีระดับไขมัน HDL เพิ่มขึ้น 10%
  • ผู้หญิงและผู้ชายออกกำลังกายแบบเบา ๆ นาน 20 นาทีทุกวัน ในระยะเวลา 10 สัปดาห์ จะมีระดับไขมัน HDL เพิ่มขึ้น 2%
  • ผู้หญิงและผู้ชายใช้แรงแบบฝึกความอดทน ในระยะเวลา 10 สัปดาห์ จะมีระดับไขมัน HDL เพิ่มขึ้น 0%

นอกจากนี้ยังงานวิจัยของด็อกเตอร์ Satoru Kodama รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์และทันตกรรมนีงาตะ ประเทศญี่ปุ่น ได้รายงานผลการวิจัยการเพิ่มไขมันดี HDL ในมนุษย์กลุ่มตัวอย่างที่ขยับออกกำลังกาย 27 สัปดาห์ เฉลี่ยพวกเขาออกกำลังกายเกือบ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 40 นาที สรุปผลก็คือ คนที่ออกกำลังกายมากกว่า 40 นาที ทุก ๆ 10 นาทีที่เพิ่มขึ้น ระดับไขมันดี HDL จะเพิ่มขึ้น 1.4%

ดังนั้น ไขมันดี HDL จะถูกสังเคราะห์ออกมา ในยามที่ร่างกายเหนื่อยหอบ นั่นหมายถึงตอนที่คุณทำอะไรก็ตามจนเหนื่อยและหอบ หายใจถี่และหัวใจเต้นแรง และไม่ใช่การยกดัมเบลจนเหงื่อท่วมกายเหมือนนักเตะที่ Fun88 ให้ราคาเป็นเต็งซัลโวของรายการ แต่เหงื่อที่ขับออกมาตามร่างกายไขมันเลว LDL จะละลายติดออกมาด้วย

การออกกำลังกายแบบขยับทุกสัดส่วนเท่านั้น ที่จะช่วยให้ปริมาณไขมันดี HDL เพิ่มขึ้นและทำประโยชน์ให้กับร่างกายของคุณ

ฟิตเนสคือสถานที่ออกกำลังกาย ที่จับเอากิจกรรมกลางแจ้งเข้าไปไว้ในร่ม

หลายคนเข้าใจผิดว่าฟิตเนส (Fitness) คือ สถานที่ออกกำลังกายของคนที่ต้องการเพาะกายเล่นกล้าม ใช่…ความรู้สึกแรกถ้าคุณได้ยินคำว่าฟิตเนส สำหรับคนที่ไม่นิยมเข้าฟิตเนส คุณจะนึกเห็นภาพชายกล้ามโตนั่งยกเวทเหงื่อไหลท่วมกาย เช่นนั้นคุณอาจจะต้องทำความเข้าใจกับฟิตเนสใหม่

รากเง้าของฟิตเนส

ในอดีต (อาจจะนับย้อนไปเกือบ 100 ปี) เครื่องออกกำลังกายที่ใช้พื้นน้อย แต่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก (รีดไขมันเลว) ได้สูงสุด เครื่องออกกำลังประเภทนี้มักจะอยู่ในค่ายมวย เพราะอะไร? เพราะก่อนที่นักมวยจะขึ้นชก จะต้องมีการชั่งน้ำหนักร่างกาย ถ้านักมวยมุมไหนน้ำหนักเกินพิกัดรุ่นจะไม่ผ่านเกณฑ์ และขาดคุณสมบัติการขึ้นชกมวยในรุ่นนั้น ๆ แน่นอนมันจะทำให้โปรโมเตอร์มวยและเจ้าของค่ายมวยอารมณ์เสียอย่างหนัก รวมถึงอาจสร้างความม่าพอใจ จนเป็นต้นเหตุของการเกิดจราจลจากแฟนมวยที่ลงเงินถือหางนักมวยคนนั้น

นักมวยที่น้ำหนักเกินพิกัด จะต้องรีดน้ำหนักออกตัวอย่างรวดเร็ว เพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก อาจจะเหลือ 1 วัน หรือไม่ถึงวันด้วยซ้ำ และถ้าจะให้นักมวยวิ่งจนน้ำหนักลดผ่านเกณฑ์ นักมวยอาจจะหมดแรงและร่างกายอ่อนล้า จนเป็นเหตุให้ต้องพ่ายแพ้การชกมวยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง เช่นนั้นจึงได้มีการคิดค้นเครื่องออกกำลังกายที่ไม่สูญเสียเกลือแร่ในร่างกายมากนัก แต่ละลายไขมันเลวเพื่อลดน้ำหนักร่างกายได้เป็นอย่างดี และใช้เวลาน้อย ดูอย่างเขาทราย กาแล็กซี่ ตำนานนักชกมวยของเมืองไทย เขามีเทคนิคลดน้ำหนักได้มากในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยใช้เครื่องมือ 3 ชนิด คือ ผ้าห่มนวม หม้อหุงข้าว และปลั๊กไฟ    

เครื่องออกกำลังกายในพื้นที่จำกัดสำหรับเมืองที่วุ่นวาย

ฟิตเนสอาจถือกำเนิดเริ่มต้นขึ้นในเมืองที่เจริญถึงขีดสุด เจริญถึงขนาดผู้คนหาเวลาออกกำลังกายไม่ได้ หรือไม่มีพื้นที่กว้าง ๆ ให้ออกกำลังกาย วิ่งตามถนนรถราก็คับคั่งตลอดทั้งวันทั้งคืน เช่นนั้นฟิตเนสคือทางเลือกหนึ่งของคนที่ต้องการความสะดวกและปลอดภัยในการออกกำลังกาย การออกกำลังกายกลางแจ้งหลายประเภท ถูกดัดแปลงและปรับปรุงให้สามารถเล่นในร่มได้ และไม่ต้องใช้พื้นที่มาก แน่นอนสิ่งที่คุณเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คือ ลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีอยู่ในฟิสเนสทุกที่ คุณสามารถวิ่งทำระยะทางถึง 5000 เมตร ด้วยพื้นที่เพียงไม่ถึง 4 ฟุต

แต่ข้อเสียของการออกกำลังกายในฟิตเนสก็คือ บรรยากาศที่น่าเบื่อ เพราะไม่ได้เห็นทัศนียภาพที่แปลกตา กลิ่นอากาศที่แปลกไป มีเพียงแค่หน้าตาของคนที่วิ่งอยู่ในลู่ข้าง ๆ เท่านั้นที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้สร้างสิ่งเร้าให้คุณอยากจะออกกำลังกาย นอกเสียจากว่าคุณอยากจะเห็นใครสักคนที่เข้าฟิตเนสหลังเลิกงานทุกวัน เช่นนั้นจึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีมากมาย เพื่อช่วยให้คนเบื่อง่าย สามารถออกกำลังกายในฟิตเนสได้ตลอด และไม่แตกต่างจากการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ เช่น แว่น VR ที่แม้คุณจะวิ่งอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้าในฟิตเนสแถวอโศก แต่บรรยากาศที่เห็น จะเหมือนคุณกำลังวิ่งอยู่ชายหาดนอร์มังดี และระลึกถึงฉากยกพลขึ้นบกในหนังสงครามหลายเรื่องที่คุณเคยดู แน่นอนมันจะทำให้คุณคิดว่าไม่ได้อยู่ในฟิตเนส และสร้างความรู้สึกอยากจะค้นหาอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่โปรดจงระวัง เพราะคุณอาจจะตกลู่วิ่งได้ง่าย ๆ เมื่อถูกกระสุนปืนกลของฝ่ายตรงข้ามในขณะที่กำลังกระโดดลงจากเรือยกพล

ทำไมพยาบาลถึงเคี่ยวเข็ญให้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดต้องลุกออกจากเตียง และพยายามเดิน

แผลผ่าตัดโดยเฉพาะถ้ามันอยู่ที่ท้องจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไม่อยากจะกระดิกกระเดี้ยลุกขึ้นจากเตียง “ขอหนักเบาเอาที่เตียงก็แล้วกัน!” ไม่ต้องพูดถึงการเดิน แค่คิดก็หลับตาปี๋เสียแล้ว

ผลเสียของการไม่ขยับและลุกขึ้นเดินของผู้ป่วยหลังผ่าตัด

แม้ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยทุกคนจะต้องถูกเตรียมพร้อมร่างกาย งดน้ำ งดอาหาร และสวนทวาร เพื่อให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะมีน้อยที่สุดเท่าจะเป็นไปได้ เพราะอะไร? เพราะถ้ากระเพาะถูกอัดแน่นไปด้วยน้ำและอาหาร ขนาดของกระเพาะและลำไส้จะเป็นอุปสรรคของการผ่าตัด ไม่ว่าหัตถการนั้นจะทำเพื่ออะไร ผ่าคลอด ผ่าไส้ติ่ง ผ่าหมันเปียก หรือผ่าอะไรต่าง ๆ มากมายที่อยู่บริเวณหน้าท้อง แต่สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัดทันที การทำให้กระเพาะอาหารบางลงทำได้เพียงแค่การสวนทวารเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่ทีมผ่าตัดจำเป็นต้องยอมรับความยากลำบากนั้น

แม้กระเพาะของผู้ป่วยหลังผ่าตัด จะมีอาหารเหลือน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้ากระเพาะอาหารไม่ได้ถูกเขย่า ลำไส้ที่ต่อจากกระเพาะไม่ได้ขยับ แก๊สที่เกิดจากการหมักหมมอาหารในรับไส้ จะไม่มีทางที่จะระบายออกมาภายนอกได้ นั่นหมายถึงผู้ป่วยไม่พยายามฝืนลุกขึ้นจากเตียง และเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองหรือมีคนคอยพยุง แน่นอนการนิ่งเหมือนถูกสาปของผู้ป่วยหลังผ่าตัด จะส่งผลให้พวกเขาท้องอืด และหน้าท้องจะเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น เพราะกระเพาะอาหารอัดแน่นไปด้วยแก๊สและอาหารที่บูดเน่า รวมถึงแก๊สและของเหลวที่อัดแน่นอนอยู่ในลำไส้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อแผลผ่าตัด

แผลผ่าตัดที่ปริออกมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้เสมอ

ลองนึกภาพเนื้อที่หน้าท้องของคุณ ถูกผ่าออกเป็นสองฝั่ง แล้วเย็บปิดแผล (ดึงเนื้อที่แยกออกมาติดกันด้วยการเย็บ) ด้วยด้ายไนลอน (ไหมตัด) หรือด้ายสังเคราะห์ (ไหมละลาย) ถ้าหน้าท้องของคุณพองโต แผลผ่าตัดที่ไหมเย็บดึงให้มาติดติดกัน จะปริออก และอย่าลืมว่าเนื้อหนังของคนเรานั้นมีหลายชั้น และการเย็บปิดแผลจะต้องเย็บให้ติดกันทุกชั้น ( 2 – 3 ชั้น ขึ้นอยู่กับว่าผ่าอะไรตำแหน่งไหน) กระเพาะที่อืดพองจะดันลำไส้ที่บวมปูดอัดกับเนื้อหนังหน้าท้อง ทำให้แผลผ่าตัดปริไม่แนบสนิทกันอย่างที่ควรจะเป็น ความเสี่ยงที่แผลผ่าตัดจะติดเชื้อจะมีสูงมาก

ใครที่เคยผ่าตัดมาแล้ว คงเคยถูกพยาบาลบังคับให้ลุกขึ้นจากเตียง และพยายามเดินให้ได้แม้จะเจ็บแผลปวดตัวแค่ไหน เพราะผู้ดูรักษาคุณไม่ต้องการให้คุณท้องอืด ซึ่งแน่นอนมันเป็นความเสี่ยงที่ทีมแพทย์และพยาบาลจะต้องบริหารจัดการ ดังนั้น ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดหน้าท้อง จำเป็นจะต้องกัดฟันฝืนลุกขึ้น และให้ญาติช่วยพยุงเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือเดินออกจากเตียงไปที่หยิบของที่วางอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก

หลายคนอาจงงว่าบทความนี้มาอยู่ในเว็บไซต์ออกกำลังกายได้อย่างไร

คุณลองเปรียบเทียบกิจวัตรของตัวเองกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยหลังผ่าตัด ขนาดผู้ป่วยหลังผ่าตัดถูกบังคับให้งดน้ำงดอาหาร และถูกสวนทวารก่อนเข้าห้องผ่าตัด ท้องพวกเขายังอืดพองโตจนทำให้แผลติดเชื้อได้ ในขณะที่คุณซึ่งมีสุขภาพร่างกายปกติ (อาจจะ) กินอาหารเข้าไปทุกวัน วันละ 3 มื้อ (ไม่รวมขนมขบเคี้ยว ของว่าง ที่คุณหยิบใส่ปากอยู่เสมอ) ถ้าคุณไม่ขยับออกกำลังกาย กระเพาะอาหารไม่ถูกเขย่า ลำไส้ไม่ขยับนอนนิ่งตามท่าทางที่คุณไม่เขยื่อนไปไหนเหมือนหิน ไม่มีแรงโน้มถ่วงช่วยให้ของเหลาเหล่านั้นเคลื่อนที่ได้ตามปกติการขับถ่าย ระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของคุณจะผิดปกติมากขนาดไหน

ลองคิดดูว่าถ้าคนเรานอนราบอยู่บนเตียง น้ำและอาหารในกระเพาะจะอยู่ในลักษณะไหน และของเหลวที่เริ่มเน่าเสียในลำไส้จะมีรูปร่างอย่างไร “มันจะเหมือนก้อนหินจมอยู่ใต้น้ำ” แล้วถ้าคุณนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน หรือนอนสไลด์สมาร์ทโฟนรับออเดอร์ลูกค้าทั้งวัน ไม่ยอมขยับออกกำลังกาย ของเหลวทั้งหลายที่ถูกย่อยโดยฟันในด่านแรก จะไปตกตะกอนกลายเป็นก้อนหินใต้น้ำในกระเพาะอาหารและลำไส้ของคุณ ระบบย่อยอาหารของคุณจะเริ่มมีปัญหาตามมาเป็นพะเรอเกวียน ตามด้วยระบบขับถ่ายจะค่อย ๆ เสื่อมลง

ธรรมชาติสร้างสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ขึ้นมาเป็นปกติออกกำลังกาย เหมือน Push Button Switches มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกให้ชีวิตของคุณเป็นแบบปกติเปิด (NO) หรือปกติปิด (NC) ถ้าคุณเลือกที่จะเปิดโอกาสให้ชีวิตสัมผัสกับการออกกำลังกาย ระบบการทำงานในร่างกายของคุณก็จะเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถ้าคุณเลือกปิดโอกาสที่จะได้ออกกำลังกาย ด้วยข้ออ้างยอดฮิต “ไม่มีเวลา” ระบบร่างกายของคุณจะเริ่มผิดปกติ และสิ่งที่ตามมาคือความเสื่อมก่อนเวลาอันควร คุณจะเลือกแบบไหน? 

สไตล์การออกกำลังกายแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ

ก่อนเริ่มต้นเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายอย่างจริงจัง บางทีคุณอาจจะต้องหยุดถามตัวเองให้แน่ใจก่อน ว่าจุดประสงค์ของการออกกำลังกายในครั้งนี้คืออะไร ไม่ใช่แค่การเห็นคนอื่นวิ่งก็ไปวิ่งด้วยหรือเห็นคนอื่นยกเวทก็ยกตาม เพราะสุดท้ายผลที่ได้จากการออกกำลังกายอาจจะไม่ได้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการเลย ดังนั้นเรื่องของการทบทวนตัวเองให้ดีก่อนเริ่มต้นจึงนับเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อให้การเสียเหงื่อและเสียเวลาของเราไม่กลายเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า

การออกกำลังกาย 3 สไตล์ยอดฮิตกับ 3 วัตถุประสงค์

แนวทางการออกกำลังกายแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งแต่ละประเภทล้วนให้ประโยชน์ของการออกกำลังกายแตกต่างกันไป ได้แก่

1.การออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic exercise) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า “คาร์ดิโอ”  การออกกำลังกายประเภทนี้จะเน้นไปที่การเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจให้สูงขึ้นกว่าปกติดต่อกันเป็นเวลานาน ช่วยให้หัวใจและปอดมีความแข็งแรงขึ้น และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงยังอวัยวะต่าง ๆ มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเนื่องจากการเต้นของหัวใจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจึงจำเป็นต้องสลายไขมันและกล้ามเนื้อออกมาใช้ในการสร้างพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย การออกกำลังกายประเภทนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อเน้นความแข็งแรงระบบต่าง ๆ และอวัยวะภายใจโดยเฉพาะหัวใจและปอดเป็นหลัก ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้ เช่น วิ่งมาราธอน เต้นแอโรบิค กระโดดเชือก ว่ายน้ำ เป็นต้น

2.การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (Weight training) เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มแรงดันเพื่อให้กล้ามเนื้อออกแรงต้าน ส่งผลให้มวลของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น เมื่อมวลกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นแล้วการเผาผลาญพลังงานของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การออกกำลังกายประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีสัดส่วนร่างกายที่ดี หรือมีมัดกล้ามเนื้อสวยงาม โดยอาจจะเวทเทรนนิ่งทุกส่วนหรือแค่บางจุดที่ต้องการก็ได้ ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้ เช่น การยกน้ำหนัก วิดพื้น โหนบาร์ เป็นต้น

3.การออกกำลังกายแบบยืดเหยียด (Stretching) การออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเอ็นและกล้ามเนื้อ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของร่างกายดีขึ้นและผ่อนคลายความตึงในส่วนต่าง ๆ ช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยหรือเจ็บปวดของกล้ามเนื้อได้ด้วย การออกกำลังกายประเภทนี้เหมาะสำหรับการรักษาอาการออฟฟิตซินโดรม ลดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ บริหารกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายประเภทอื่น หรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้ ได้แก่ โยคะ เต้นบัลเล่ต์ กายบริหาร เป็นต้น

วิธีการออกกำลังกายแต่ละประเภทล้วนมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนจะเริ่มต้นวางแผนการออกกำลังกายของตัวเอง เพราะหากไม่เข้าใจหลักการส่วนนี้แล้ว สุดท้ายย่อมไม่สามารถเกิดผลสำเร็จอย่างที่เราคาดหวังขึ้นมาได้

วิธีออกกำลังกายที่ดีที่สุดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

การออกกำลังกายที่เหมาะสมของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกันไป เพราะจุดประสงค์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน วิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดจึงเป็นการวางแผนผสมผสานการออกกำลังกายในสไตล์ที่ให้ประโยชน์ตามความต้องการของตนเองเป็นอันดับแรก ในขณะเดียวกันก็ต้องออกกำลังกายในแนวทางที่เหลือควบคู่กันไปเพื่อผลที่ดีโดยรวมต่อสุขภาพด้วย

สุดท้ายแล้ว การออกกำลังกายที่ถูกต้องคือการต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราต้องการผลอะไรจากการออกกำลังกาย จากนั้นจึงเน้นแนวทางที่ใช่เพื่อผลที่ชอบ มีวินัยออกกำลังกายสม่ำเสมอและหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ  ถ้าทำได้ตามนี้แล้ว ผลสำเร็จของการออกกำลังกายย่อมเป็นของคุณแน่นอน

เลือกฟิตเนสอย่างไรให้ใช่สำหรับเรา?

สถานที่ออกกำลังกายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้แผนการออกกำลังกายของเราประสบความเร็จตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้ การจะเลือกฟิตเนสประจำตัวของเราสักแห่ง ไม่จำเป็นต้องเลือกฟิตเนสที่ดีที่สุดในโลก ขอแค่เพียงเมื่อพิจารณาแล้วเราพบว่าเป็นฟิตเนสที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ ความสะดวกของเรา มีมาตรฐานและนโยบายสอดคล้องกับความต้องการของเราก็ถือว่าผ่านในระดับหนึ่งแล้ว

สิ่งที่ต้องคิดก่อนเลือกสมัครบริการฟิตเนส

การสมัครบริการฟิตเนสเป็นการสมัครเพื่อใช้บริการระยะยาว ส่วนใหญ่มักมีช่วงเวลาสมาชิกฟิตเนสให้เลือกสมัครตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี ดังนั้นก่อนจะเลือกฝากชีวิตฝากสุขภาพไว้กับฟิตเนสที่ไหน ผู้สมัครควรจะต้องทำการศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ หากก่อนสมัครพบว่าทางฟิตเนสมีบางอย่างไม่เข้ากับความต้องการของเราจะได้ถอนตัวทัน และนี่คือสิ่งที่ควรตรวจสอบให้ดีก่อนคิดสมัครบริการฟิตเนส

1.ฟิตเนสเปิดบริการอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่? เปิดมานานเท่าไหร่แล้ว?

เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้ดี เพราะหากสมัครไปแล้ว ต่อมาฟิตเนสย้ายหนีหรือจำเป็นต้องร้องเรียนเรื่องดามกฎหมายได้ต่อไป และยังช่วยรับประกันความน่าเชื่อถือขอองฟิตเนสได้ด้วย

2.มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ประจำการตลอดเวลาหรือไม่?

อาจจะไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพประจำตลอดเวลา แต่ในช่วงเวลาที่เราไปฝีกแล้วต้องการคำแนะนำ ควรจะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถให้คำแนะนำให้บริการอยู่

3.เราเดินทางมาฟิตเนสสะดวกหรือไม่?

ควรเลือกสถานที่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก ไม่สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก เพราะจำเป็นต้องมาออกกำลังกายด้วยในระยะยาว ในกรณีที่ขับรถมาเองก็ควรตรวจดูที่ทางจอดรถให้แน่ใจก่อนว่าเพียงพอและปลอดภัยหรือไม่

4.มีโปรโมชั่นอย่างไร บ่อยแค่ไหน?

สามารถตรวจสอบได้จากสื่อที่ทางฟิตเนสใช้ประชาสัมพันธ์ย้อนหลังได้ หากพบว่าเข้าใกล้ช่วงโปรโมชั่นในปีนั้นอาจสอบถามเจ้าหน้าที่ อีกทั้งลองสอบถามเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของเรา

5.ทดลองเล่นฟรีได้หรือไม่?

หากสามารถเล่นฟรีได้ ควรทดลองเล่นเครื่องเล่นให้ครบทุกชิ้นเพื่อทดสอบคุณภาพของเครื่องเล่น และความหนาแน่นของผู้คนภายในว่าไม่แออัดจนเกินไป

6.ช่องทางติดต่อ เจ้าหน้าที่ตอบคำถามได้เร็วแค่ไหน?

ความรวดเร็วในการตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้วัดความใส่ใจในการให้บริการของทางฟิตเนสได้เช่นกัน หากเจอฟิตเนสที่ตอบข้อซักถามช้าหลายวัน อาจต้องคิดเพิ่มเติมอีกสักนิดก่อนตัดสินใจเลือก

7.ค่าบริการเท่าไหร่ เงื่อนไขอย่างไร บอกราคาชัดเจนไม่มีอะไรแอบแฝงใช่หรือไม่?

สอบถามให้ละเอียดถึงรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสุทธิแล้วเราจะต้องจ่ายในราคาเท่าไหร่ มีข้อแม้ใด ๆ ที่ควรรู้เพิ่มเติมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนจรดปากกาเซ็นต์สัญญาสมัครสมาชิก ควรอ่านรายละเอียดให้ดีก่อนทุกบรรทัด

8.สังคมภายใน เพื่อนร่วมฟิตเนสเป็นอย่างไร?

หากฟิตเนสดูรกร้างว่างเปล่าไม่มีคนมาใช้บริการเลย ควรฉุกใจคิดก่อนว่าทำไม เพื่อนส่วนใหญ่เป็นสไตล์ไหน อันตรายหรือไม่

9.เครื่องเล่นตรงตามความต้องการของเราหรือไม่?

หากเรามุ่งเน้นจะสร้างกล้ามท้องให้ชัด แต่เครื่องเล่นเน้นกล้ามท้องไม่มีเลย ก็ควรเปลี่ยนไปที่ทางที่มีเครื่องเล่นตรงกับความต้องการของเรามากกว่า

10.มีคลาสพิเศษให้เข้าร่วมหรือไม่ จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มหรือเปล่า?

11.ห้องน้ำสะอาดหรือไม่ มีห้องอาบน้ำให้ด้วยหรือไม่

12.ความปลอดภัยของล็อกเกอร์ในฟิตเนส          

ฟิตเนสที่ใช่ที่สุด ไม่จำเป็นต้องดีที่สุด

ในหลาย ๆ ครั้งของการเลือกสิ่งของอะไรสักอย่าง เราอาจจะพบว่าสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุด จริง ๆ แล้วอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีสุดเสมอไป การเลือกฟิตเนสเองก็เช่นกัน ควรเลือกสถานที่ที่เราสะดวกเดินทางไปและสบายใจจะใช้บริการ หรือนั่นก็คือเลือกที่ ๆ คิดว่าใช่ที่สุดสำหรับเรานั่นเอง

แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างความมีวินัยในการไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่เช่นนั้นต่อให้พบเจอกับฟิตเนสที่ใช่ที่สุดสำหรับเราแล้ว แต่เราไม่ได้แบ่งเวลาไปออกกำลังเลย มีฟิตเนสดีแค่ไหนก็คงไร้ประโยชน์

ข้อดีง่าย ๆ ที่ได้จากการเล่นฟิตเนสที่บางคนอาจมองข้ามไป

การออกกำลังกายในปัจจุบันที่มีการอำนวยความสะดวกให้ผู้คนหันมารักสุขภาพนั้นมีอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสวนสาธารณะที่เป็นศูนย์กลางในการวิ่งออกกำลังกาย รวมถึงการมีเครื่องเล่นออกกำลังกายไว้บริการตามจุดต่าง ๆ อีกด้วย จุดประสงค์หลักนั่นก็คือทำให้คนหันมารักสุขภาพและดูแลตัวเองกันมากขึ้น และในปัจจุบันก็มีการบริการด้านฟิตเนสด้วยการมีเครื่องออกกำลังกายไว้บริการกันอย่างมากมาย ซึ่งการออกกำลังกายด้วยการเล่นฟิตเนสก็มีข้อดีที่แตกต่างจากการออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหรือที่บ้านต่าง ๆ ด้วยนะ

ข้อดีทางอ้อมที่ได้จากการเล่นฟิตเนสมากกว่าการออกกำลังกายที่บ้านหรือสวนสาธารณะ

          –มีสังคมที่ใกล้ชิดมากกว่า เพราะการออกกำลังกายในฟิตเนสจะถูกจำกัดด้วยพื้นที่และมีเครื่องออกกำลังกายอย่างจำกัด จึงทำให้มีการพบเจอและได้พูดคุยทักทายกันได้ง่ายกว่าการวิ่งตามสวนสาธารณะที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งภายในฟิตเนสแต่ละแห่งยังรวบรวมเครื่องเล่นออกกำลังกายต่าง ๆ ไว้ รวมทั้งการออกแบบสถานที่หรือสิ่งอำนวยความสะดวกไว้บริการ ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกันหรือใกล้เคียงกันก็จะมาที่แห่งเดิมซ้ำ ๆ จนอาจได้มีการพูดคุยกันในสิ่งที่ชื่นชอบเหมือนกันนั่นเอง

          -แฟชั่นของชุดออกกำลังกายที่จัดจ้านและประชันกันมากกว่าการออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ นี่ถือเป็นเหตุผลหรือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้สาว ๆ อยากหยิบชุดออกกำลังกายสวย ๆ ซึ่งเป็นแฟชั่นหนึ่งของฟิตเนสจนทำให้ฉุดพวกเธอไปออกกำลังกายได้เลยทีเดียว อีกทั้งเทรนด์ชุดฟิตเนสก็มีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา จนอาจสร้างกลุ่มแฟชั่นภายในฟิตเนสนั้น ๆ จนสร้างความใกล้ชิดภายในกลุ่มได้มากกว่า

          -เครื่องออกกำลังกายที่มีความทันสมัยและสามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อได้มากกว่า แน่นอนว่าฟิตเนสย่อมมีเครื่องออกกำลังกายต่าง ๆ ไว้อย่างมากมาย และหลาย ๆ สิ่งเน้นความทันสมัยและตอบโจทย์การออกกำลังกายได้มากกว่าการวิ่ง อีกทั้งยังมีคอร์สและเทรนเนอร์ที่เป็นกูรูในการออกกำลังกายได้อย่างตรงจุด สำหรับบางคนที่มาฟิตเนสเพราะต้องการออกกำลังกายหรือลดสัดส่วนในบางจุดก็สามารถเลือกใช้เครื่องออกกำลังกายภายในฟิตเนสเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์อย่างตรงจุดได้ดีกว่าการวิ่งหรือออกกำลังกายที่สวนสาธารณะอีกด้วย เพราะในฟิตเนสมีเครื่องออกกำลังกายที่คุณสามารถเลือกได้อย่างมากมายว่าต้องการเพิ่มหรือลดกล้ามเนื้อส่วนใดเป็นพิเศษได้ดีกว่า

          การเข้าฟิตเนสอย่างเป็นประจำเพื่อการออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดี สามารถมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคภัยต่าง ๆ ได้แล้ว ยังมีข้อดีทางอ้อมที่หลาย ๆ คนอาจมองข้ามไปจากประโยชน์ที่ตัวเองได้รับอยู่เป็นประจำก็ได้ ดังนั้นหากอยากสร้างอารมณ์ที่แตกต่างจากเดิมจากการเล่นฟิตเนสแล้วล่ะก็ ลองมองข้อดีทางอ้อมเหล่านี้ดูและจะทำให้การเล่นฟิตเนสของคุณฟินขึ้นกว่าเดิมก็ได้นะ

เลือกเล่นโยคะในแบบที่ใช่  การเล่นโยคะรูปแบบไหนที่เหมาะสมกับตนเอง

ในเมื่อโยคะมีมากมายหลายประเภท การเลือกฝึกโยคะให้เหมาะสมกับตนเองจึงอาจสร้างความงุนงงให้กับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นฝึกใหม่ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบของโยคะทั้งที่มีมาแต่ดั้งเดิมและโยคะสมัยใหม่ได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงข้อจำกัดในการเล่นบางอย่าง มาทำความรู้จักกับโยคะประเภทต่าง ๆ ประกอบการตัดสินใจกันเถอะ

โยคะยอดฮิตที่ได้รับความนิยมมานาน

  • หฐ โยคะ (Hatha Yoga)

โยคะรูปแบบนี้มีท่ามาตรฐานที่ทำตามได้ไม่ยาก เน้นการค้างท่านาน พบได้ทั่วไปในชั้นเรียนวิชาโยคะในไทย มีผลในการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ เริ่มต้นฝึกได้แม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อน

  • อัษฎางค์ โยคะ (Ashtanga Yoga)

เป็นการฝึกโยคะโดยมีท่าฝึกเป็นชุด การจะฝึกชุดไหนได้ต้องค่อย ๆ ไล่จากลำดับชุดฝึกแรกก่อน ผู้เล่นต้องใช้ทักษะทางร่างกาย ลมหายใจ และการกำหนดจุดสายตา ร่วมกับการเคลื่อนไหวท่าอย่างต่อเนื่อง

  • วินยาสะ โยคะ (Vinyasa Yoga)

เป็นโยคะที่นำท่าอาสนะต่างมาเรียงต่อกัน ผู้ฝึกจะไม่รู้ว่าท่าต่อไปคืออะไรแต่เล่นให้ไหลลื่นไปตามที่ครูสั่ง คล้ายกับการเต้นอย่างช้า ๆ โยคะรูปแบบนี้จะไม่ทำท่าค้างเป็นเวลานาน แต่จะเป็นการเคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ เหมาะมากสำหรับผู้เริ่มฝึกใหม่ ๆ

  • ไอเยนการ์ โยคะ (Iyengar Yoga)

การฝึกด้วยรูปแบบนี้มีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเข้ามา เช่น หมอน ผ้าห่ม เข้มขัด หรือใช้ผนัง และแช่ค้างท่านานกว่ารูปแบบอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ โดยบางครั้งไอเยนการ์ โยคะ ถูกมองเป็นเหมือนบัลเล่ต์ และมีส่วนช่วยอย่างมากในการรักษาเยียวยาความเจ็บป่วยต่าง ๆ ในร่างกาย

โยคะสมัยใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม

  • บิแกรมโยคะ (Bikram Yoga)

เป็นโยคะร้อนประเภทหนึ่ง นิยมเล่นกันในอุณหภูมิห้องที่ประมาณ 38-40 องศา การใช้ชื่อ Bikram ในการสอนได้ ครูผู้สอนต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และมีท่ามาตรฐานเฉพาะ 26 ท่าที่เหมือนกันทั่วโลก จึงแตกต่างจากโยคะร้อนทั่วไปที่เรียกว่า Hot yoga โยคะรูปแบบนี้เป็นที่นิยมในต่างประเทศเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับความนิยมในประเทศที่อากาศร้อนอย่างเมืองไทยเช่นกัน บิแกรมโยคะ มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าโยคะทั่วไป

  • หยิน โยคะ (Yin Yoga)

หยินโยคะ เป็นโยคะฟิ้นฟู (restorative yoga) รูปแบบหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วย เพราะคนทั่วไปที่ปวดเมื่อยร่างกายหรือมีความเครียดในชีวิตประจำวันก็สามารถเล่นได้ การเกิดขึ้นของโยคะรูปแบบนี้มาจากแนวคิดเรื่องหยิน-หยางในลัทธิเต๋า การปฏิบัติเน้นการขยับร่างกายน้อย เพื่อความผ่อนคลาย คล้ายกับพลังงานของหยิน ที่แทนการไม่เคลื่อนไหว ไม่กระตือรือร้น

  • โยคะบิน หรือโยคะเหินฟ้า (Aerial Yoga)

เป็นโยคะที่ออกแบบขึ้นมาใหม่โดยใช้ผ้าเปลเป็นอุปกรณ์หลัก และมีการเคลื่อนไหวที่ผสมท่าทางจากการเล่นโยคะ พิทาลิส และการเต้น จึงเหมือนกับการออกกำลังกายแบบเหาะเหินเดินอากาศ ผ้าเปลที่เป็นอุปกรณ์หลักเป็นผ้าที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อรองรับการฝึกรูปแบบนี้เท่านั้น แม้จะดูผาดโผน แต่คนที่ไม่มีพื้นฐานก็เริ่มต้นฝึกโยคะบินนี้ได้เช่นกัน

หากคุณเพิ่งเริ่มต้น แนะนำให้ฝึกแบบพื้นฐานให้ร่างกายปรับตัวก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาไปเล่นในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ ซึ่งทุกรูปแบบล้วนทำให้สุขภาพร่างกายและใจแข็งแรงขึ้นได้ทั้งนั้น หากปฏิบัติอย่างมีวินัย ทำอย่างตั้งใจ เป็นประจำและสม่ำเสมอ

 

ความแตกต่างทางกาลเวลาของโยคะดั้งเดิมและโยคะสมัยใหม่

เป็นที่รู้กันว่า โยคะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียมากกว่าห้าพันปี ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ การดำรงอยู่ของโยคะจึงอาจไม่ได้ครอบคลุมศาสตร์ดั้งเดิมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานเก่าแก่ที่ยังคงเหลือ ไม่ว่าจะเป็นไม้แกะสลัก รูปปั้นท่าฝึกต่าง ๆ ก็ยังพอทำให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่า แนวคิด วิทยาการ การรักษาร่างกายและจิตใจของมนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อนเป็นอย่างไร และนำมาประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่แบบไหนได้บ้าง

โยคะดั้งเดิม

โยคะดั้งเดิม มีต้นกำเนิดมาจากโยคีในประเทศอินเดีย ที่ต้องการรักษาร่างกาย เมื่อยามเจ็บปวดจากการทำสมาธิภาวนา หรือยามป่วยไข้และไม่สามารถหาหมอรักษาได้ โดยออกแบบท่าทางให้คล้ายกับรูปร่างสัตว์ต่าง ๆ เช่น ท่าเต่า (Tortoise Pose หรือ Kurmasana) ที่เป็นท่านั่งโน้มตัวลงชิดพื้น สอดแขนลอดใต้ขา และไขว้มือทั้งสองมาสัมผัสกันที่แผ่นหลัง มีส่วนช่วยยืดหยุ่นผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดหลัง การเลียนแบบรูปร่างสัตว์นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ตนเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ ไม่มีใครเหนือหรือด้อยกว่า โยคะดั้งเดิมของเหล่าโยคี จึงมีความหมายในแง่ของการรักษาร่างกาย ซึ่งเป็นที่ ๆ ให้จิตใจได้อยู่อาศัย เมื่อร่างกายได้ปรับสมดุลและผ่อนคลายแล้ว จิตใจก็พลอยเบิกบาน การบำเพ็ญภาวนาก็ราบรื่นและเข้าถึงหนทางแห่งการบรรลุได้ดียิ่งขึ้น

โยคะยุคใหม่

ก่อนจะเดินทางข้ามกาลเวลานับพันปีมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ โยคะได้ผ่านการปรับปรุง เสริมสร้าง คิดค้น เปลี่ยนแปลง ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย จากเดิมที่ปฏิบัติกันในหมู่ผู้บำเพ็ญภาวนา ก็กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนำมาฝึกได้ จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก แน่นอนว่า เมื่อศาสตร์โยคะดั้งเดิมได้เดินทางไปสู่ดินแดนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ย่อมถูกนำไปปรับปรุงให้เข้ากับวิถีชีวิตผู้คนในท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วย โดยเฉพาะในโลกตะวันตก ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ มารองรับเพื่อสนับสนุนให้ผู้คนเห็นประโยชน์ของการเล่นโยคะว่าดีต่อสุขภาพร่างกาย มากกว่าที่จะเน้นเรื่องของการเข้าถึงจิตวิญญาณดั้งเดิมแบบโลกตะวันออก เราจึงได้รู้จักโยคะยุคใหม่มากมาย เช่น โยคะร้อน (Hot Yoga) ที่เล่นโยคะกันในอุณภูมิห้องที่เท่ากับอุณภูมิร่างกายที่ประมาณ 38 – 40 องศา, แอ็คโครโยคะ (Acro Yoga) เป็นโยคะที่มีผู้เล่นหลัก 2 คน โดยต่อตัวกันคล้ายกับการกายกรรม คนหนึ่งเป็นฐาน (Base) ส่วนคนที่อยู่ด้านบนเป็นตัวบิน (Flyer) บางกรณีจะมีคนที่ 3 เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ (Supporter) ในกรณีที่คนข้างบนอาจหล่นลงมา หรือแม้แต่แอเรียลโยคะ (Aerial Yoga) ที่ผู้เล่นจะทำอาสนะโดยการคล้องเชือกกับตัวเองที่แขวนเพดาน เป็นโยคะที่ช่วยแก้อาการปวดหลังได้ดีอีกวิธีหนึ่ง

แม้โยคะในปัจจุบันจะต่อยอด แตกแขนงจากแบบดั้งเดิมขึ้นมากมาย และถูกมองในแง่ของการออกกำลังกายมากกว่าการสร้างสมาธิ แต่หากได้ปฏิบัติไประดับหนึ่ง ผู้คนจะรับรู้เองว่า นอกจากร่างกายที่แข็งแรงขึ้น โยคะยังให้ประโยชน์ในแง่ของการพัฒนาจิตใจและอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักตั้งแต่ในอดีตนั่นเอง