อาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ และแขนขาหักของคนเล่นโยคะจะเกิดขึ้นน้อยมาก

การออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ เป็นรูปแบบการขยับยืดและเกร็งกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนของร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อลาย (Muscle) มีความแข็งแรง ยืดหยุ่นได้ดี และที่สำคัญกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและยืดหยุ่นดี จะเป็นกันชนชั้นดีให้กับกระดูก ซึ่งเป็นรากฐานโครงสร้างของร่างกาย

กล้ามเนื้อกับไขมัน

ทุกส่วนในร่างกายของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แม้แต่หัวใจอวัยวะที่สำคัญอันดันต้น ๆ ของคนเรา ก็ยังมีกล้ามเนื้อเรียบ สำหรับการบีบและคลาย เพื่อสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงระบบการทำงานของร่างกาย อย่างที่โบราณว่าเอาไว้ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ถ้าเจ้านายไม่ดี มักง่าย เอาแต่ใจตัวเอง บ่าวไพร่ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยได้ง่าย มีเรื่องมีราวต้องให้เจ็บตัวเจ็บใจไม่เว้นแต่ละวัน

ดังนั้น ถ้าคุณกินอะไรตามใจลิ้น สิ่งที่รับเขาร่างกายจะมีแต่แป้ง น้ำตาล โซเดียม และไขมัน กล้ามเนื้อที่เปรียบเสมือนกันชนรอบคัน (รอบร่างกาย) จะแทนที่ด้วยไขมันเลว (Fat) อินซูรินที่ตับอ่อนหลั่งออกมาในปริมาณที่เหมาะสม จะไม่เพียงพอต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด โปรตีนจะหลุดรั่วออกมากับปัสสาวะ ไตจะเริ่มเสื่อม และยิ่งไปกว่าอะไรทั้งหมด คอเลสเตอรอลชนิดเลวจะนำพาไขมันเลว (ก็มันเกลอกัน) เข้าไปในเส้นเลือด นี่คือสาเหตุการตายของคนที่ตามใจลิ้น เพราะปล่อยให้ความอยากเป็นนายจิตใจ จึงเกิดเป็นความบกพร่องในการยับยั้งชั่งใจ

ไขมันมีประโยชน์ต่อร่างกายเพียงน้อยนิด แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเทียบกับการป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระแทก

คนที่เล่นโยคะกับคนที่ไม่เล่นโยคะ วิ่งแข่งกัน

ถ้าจับเอาคนที่เล่นโยคะวิ่งแข่ง 400 เมตร กับคนที่ไม่เล่นโยคะ และปรากฏว่าทั้งสองคนพลาดท่าหกล้มระหว่างทาง คุณคิดว่าใครจะบาดเจ็บมากกว่ากัน แน่นอนคนที่เล่นโยคะจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่า และยืดหยุ่นซับแรงกระแทกได้ดีกว่า นักวิ่งหรือคนที่ออกกำลังกายอย่างอื่นเป็นประจำ สำหรับนักวิ่งที่วิ่งออกกำลังกายและทำลายสถิติตัวเองอยู่เป็นประจำ หากอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ขา พวกเขาอาจจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เพราะกล้ามเนื้อขายืดหดสร้างเสริมความแข็งแรงอยู่เป็นประจำ แต่แรงกระแทกในขณะหกล้มที่เกิดขึ้นกับแขน ข้อเหวี่ยงต่าง ๆ หรือทุกสัดส่วนช่วงลำตัว อาจไม่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ซึ่งช่วยลดแรงกระแทก ดังนั้น อาการบาดเจ็บของคนที่ไม่เล่นโยคะ มักจะสาหัสกว่าและฟื้นตัวได้ช้ากว่า

แต่ถ้าจับคนอ้วนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เต็มที่ก็แค่ออกกำลังกายนิ้วและข้อมือบนหน้าจอสมาร์ทโฟน มาวิ่งแข่งกับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้น กล้ามเนื้อที่คอยซับแรงกระแทกไม่มี มีแต่ไขมันเลวที่จับตัวกันเป็นก้อนอยู่รอบตัวถัง และแทรกตัวอยู่ในทุกสัดส่วนของร่างกาย กล้ามเนื้อพวกเขาจะฉีกเสียหายได้ง่าย พอ ๆ กับกระดูกที่มีขนาดเล็กกว่าก้อนไขมัน แน่นอนมันจะหักในทันที และอาจจะหักหลายท่อนด้วย

ผู้ป่วยหรือผู้ที่จำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าตัดทำหมันเปียกของผู้หญิง หรือการผ่าตัดเพื่อเอานิ่วออกจากไตหรือทางเดินปัสสาวะ ถ้าผู้ป่วยที่จะเข้าผ่าตัดหน้าท้องใหญ่ แพทย์และพยาบาล Assistant จะขมวดคิ้วเพราะวิตกกังวลล่วงหน้า “เคสนี้ยากแน่ ๆ” เพราะหน้าท้องใหญ่นั่นหมายถึงก้อนไขมันที่เป็นอุปสรรคในการทำหัตถการ กว่าจะควานหาไส้ติ่งเจอ กว่าจะตามหาปีกมดลูกเจอ (ถ้าไม่ใช่แพทย์หรือพยาบาลที่ประสบการณ์สูง จะหาข้อแตกต่างระหว่างสิ่งที่คีบได้ขึ้นมากับท่อนำไข่ยากมาก) เช่นนั้นลองคิดดูว่าถ้าก้อนไขมันเลว บดบัง เกะกะ ประกอบกับเลือดที่มันวาวระยิบระยับลื่นไหลซับได้ยาก มันจะเป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดมากมายขนาดไหน

การเล่นโยคะเป็นประจำ ถือเป็นการใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท เพราะคุณไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับตัวเองตอนไหน อย่างไร และรุนแรงขนาดไหน กล้ามเนื้อที่แข็งแรง ยืดหยุ่นได้ดี ถือเป็นเครื่องป้องกันการบาดเจ็บได้ดีกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าใครยังหาประโยชน์จากการออกกำลังกายเบา ๆ อย่างโยคะไม่ได้ ทั้งหมดนี้ คือ เหตุผลที่จะทำให้คุณเริ่มหาซื้อเสื่อนุ่ม ๆ สีสวย ๆ เพื่อสร้างสิ่งเร้าให้ตัวเองสนใจในโยคะ      

สิ่งแรกที่คุณต้องทำเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ

กีฬาที่มีความเสี่ยงที่กล้ามเนื้อจะฉีกขาดมากที่สุด คือ กีฬาที่จะต้องใช้แรงวิ่งอย่างฟุตบอล หรือเจอกับแรงปะทะอย่างอเมริกันฟุตบอล แต่ดูเหมือนว่ากีฬาทั้งสองประเภทนี้ จะต้องใช้ทั้งแรงวิ่งและแรงปะทะตลอดทั้งเกม

การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นได้เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา หรือการออกกำลังกาย ย่อมจะมีโอกาสที่กล้ามเนื้อจะได้รับความเสียหาย และตามติดมาด้วยอาการบาดเจ็บ สำหรับคนที่มีประสบการณ์การบาดเจ็บเจ็บของกล้ามเนื้อ หากพวกเขารู้สึกผิดปกติที่เชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อ พวกเขาจะหยุดทำกิจกรรมทั้งหมดที่ต้องใช้แรงกับกล้ามเนื้อทันที หรือลดการใช้แรงกล้ามเนื้อที่ผิดปกติจนกว่าจะสามารถ OFF ได้ เพราะแม้จะเป็นแค่ความรู้สึกที่ผิดปกติ ซึ่งบางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในความเป็นจริงนั่นคือสัญญาณเตือนว่า กล้ามเนื้อของคุณกำลังเสียหาย การอักเสบและฉีกขาดของกล้ามเนื้อกำลังจะเกิดขึ้น

โดยเฉพาะใครที่นิยมชมชอบการออกกำลังกายในฟิตเนส แน่นอนในฟิตเนสนั้น เต็มไปด้วยเครื่องออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยใช้แรงหดรัดเพื่อเร่งให้เกิดการรวมตัวของโปรตีน จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดความเครียด (Muscle Strain) และกระบวนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อด้วยระบบชีวภาพจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ นี่คือเหตุผลที่ทำให้กล้ามเนื้อคุณโตขึ้น

แต่หากคุณใช้แรงกล้ามเนื้อนานเกินไป รุนแรงเกินไป กล้ามเนื้อที่เกิดความเครียดจัด จะเสียหายจนระบบซ่อมแซมไม่สามารถเยียวยาได้ทัน อาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อจึงเกิดขึ้น ถ้าอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นจากการใช้แรงกล้ามเนื้อที่ผิดท่า อาจจะเห็นและรู้สึกได้ชัดเจนกว่าอาการบาดเจ็บที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ และท้ายที่สุดกล้ามเนื้อจะพาคุณแอดมิดโรงพยาบาล

ดังนั้น ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ หากพบเพียงสัญญาณธรรมดา ๆ แต่น่าสงสัย พวกเขาจะหยุดกิจกรรมอะไรก็ตามที่ขยับอยู่ทันที เพราะความเสียหายของกล้ามเนื้อนั้น สามารถฉีกขาดได้บางส่วนหรือทั้งหมด เพราะส่วนนั้นคือเส้นใยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ติดแนบสนิทกับกล้ามเนื้อ และที่สำคัญการฉีกขาดของกล้ามเนื้อนั้นสามารถทำลายหลอดเลือดที่พาดผ่านบริเวณกล้ามเนื้อด้วย และมันเป็นสาเหตุของอาการช้ำหรือเลือดคั่ง

การดูแลกล้ามเนื้อเมื่อรู้สึกผิดปกติ หรือเกิดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ

สิ่งแรกที่คุณจะต้องทำเมื่อเกิดความผิดปกติหรือเกิดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ คือ พักกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดของคุณทันที จากนั้นใช้น้ำแข็งประคบ (ประคบเย็น) ในช่วงสองสามวันแรกหลังจากได้รับบาดเจ็บ หรือคุณอาจใช้ยาต้านการอักเสบ (Tylenol) ร่วมด้วยก็ได้ (ขึ้นอยู่กับระดับความเจ็บปวด) โดยการออกฤทธิ์ของยาจะช่วยลดอาการปวดและบวมได้เป็นอย่างดี

และเมื่อความเจ็บปวดของคุณลดลงบ้างแล้ว คุณสามารถประคบร้อนที่กล้ามเนื้อได้ หรืออาจจะยืดกล้ามเนื้อและการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อให้เลือดไหลไปยังบริเวณที่บาดเจ็บ แน่นอนมันจะเป็นประโยชน์มาก แต่ปกติการยืดกล้ามเนื้อและการประคบร้อน จะมีประโยชน์เพื่อวอร์มร่างกายก่อนออกกำลังกาย และก็สามารถใช้วิธีนี้เมื่ออาการบาดเจ็บของคุณพ้นวิกฤตไปแล้ว

แต่คุณจะต้องรีบปรึกษาแพทย์ทันที เมื่อเกิดอาการบวมบริเวณกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ หรือไม่สามารถขยับแขนหรือขาได้ และอาการบวมนั้นแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป เพราะนั่นคือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่ากล้ามเนื้อของคุณ ไม่ได้แค่ตึงเครียดหรือผิดปกติธรรมดา ๆ