มาลดน้ำตาลในเลือด ด้วยการฝึกโยคะกันเถอะ

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (hyperglycemia) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “โรคเบาหวาน” (Diabetes mellitus)เป็นหนึ่งในโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย และมีปัญหาในการนำพลังงานไปใช้เนื่องจากมีปัญหาในการนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานสะสม ทำให้ไม่เหมาะที่จะออกกำลังกายทั่วไปที่ใช้แรงเยอะ แต่ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ดังนั้นโยคะจึงกลายมาเป็นตัวเลือกในการออกกำลังกายที่ตอบโจทย์ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ค่อยเป็นค่อยไปแต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อได้ทุกส่วน ยิ่งกว่านั้นโยคะยังมีส่วนช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วย

กลไกการลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยโยคะ

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักคือ Type 1 ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน และ Type 2 ซึ่งเกิดจากตัวรับฮอร์โมนอินซูลินของเซลล์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทั้งสองกรณีส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นกว่าคนปกติ และส่งผลให้ไตไม่สามารถดูดกลับน้ำตาลจำนวนมากนี้ได้ทั้งหมดจึงสามารถพบน้ำตาลในปัสสาวะของผู้ป่วยได้ด้วย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมระดับของน้ำตาลในเลือดได้เช่นเดียวกับคนปกติ ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำเป็นต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันมากกว่าปกติ

จากการวิจัยในผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งสองชนิด พบว่าผู้ป่วยที่ทำการฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องจะสามารถกระตุ้นเบต้าเซลล์ในตับอ่อนให้เพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งเบต้าเซลล์ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน Type 1 มีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินที่เพิ่มสูงขึ้นได้ ในขณะเดียวกันการฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องยังช่วยให้ตัวรับอินซูลินในเซลล์เป้าหมายมีความไวต่อการรับฮอร์โมนอินซูลิน (insulin sensitivity) เพิ่มสูงขึ้น ทั้งสองกรณีส่งผลให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานลดลงตามมาในที่สุด

โยคะลดฮอร์โมนเครียด อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

นอกจากโยคะจะมีส่วนช่วยในการลดน้ำตาลในเลือดด้วยกลไกดังกล่าวข้างต้น การฝึกโยคะเป็นประจำต่อเนื่องยังช่วยให้ผู้ฝึกลดความกังวล คลายเครียด ทำให้ปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดลดน้อยลงตามมา ซึ่งโดยปกติแล้วฮอร์โมนคอร์ติซอลจะส่งผลให้เกิดการเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานต่าง ๆ เมื่อไม่เกิดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลจึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดของผู้ป่วยลดลงกว่าปกติด้วยเช่นกัน การฝึกโยคะจึงส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงจากการออกกำลังกายร่วมด้วย

รู้ข้อดีมากมายของโยคะอย่างนี้แล้ว อย่าลืมแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานที่รู้จักให้ลองเริ่มต้นฝึกฝนดูเพื่อผลดีต่อสุขภาพมากมาย เพราะบางครั้งการให้กำลังใจผู้ป่วยก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการให้คำแนะนำที่ดีเมื่อมีโอกาส ในทางกลับกันหากวันนี้คุณเป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กำลังหาวิธีดูแลสุขภาพตัวเองอยู่ โยคะอาจจะเป็นคำตอบของการสร้างสุขภาพที่ดีที่คุณตามหาอยู่ก็เป็นได้

“โยคะ” การออกกำลังกายสุดฮิตในหมู่นักเดินทางรอบโลก

การออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กับชีวิตในต่างแดน กลายมาเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ใหม่ของโลกยุคปัจจุบัน กิจกรรม “เที่ยวรอบโลก” กลายมาเป็นหนึ่งในเรื่องยอดฮิตในกลุ่มคนยุคใหม่ที่รักความเสี่ยงและการผจญภัยมากกว่าในอดีต แต่การเดินทางไกลย่อมนำมาซึ่งความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งทางกายและใจ ดังนั้นนักเดินทางหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจในการฝึกโยคะเพื่อช่วยผ่อนคลายร่างกายและฝึกสติสำหรับรับมือทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำให้สุดท้ายโยคะจึงกลายมาเป็นการออกกำลังสุดฮิตที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวรอบโลก

5 เหตุผลที่นักท่องเที่ยวรอบโลกเลือกฝึกโยคะ

เหตุผลที่ปัจจุบันโยคะกลายมาเป็นการออกกำลังกายที่บรรดานักท่องเที่ยวรอบโลกหันมาเลือกฝึกระหว่างการออกเดินทาง มีดังต่อไปนี้

1. ประหยัดพื้นที่  –  การเดินทางโดยต้องเปลี่ยนที่นอนแทบจะรายวัน ย่อมไม่สะดวกต่อการออกกำลังกายที่ต้องจัดเตรียมพื้นที่ให้วุ่นวาย โยคะจึงกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากต้องการพื้นที่น้อยมาก ความกว้างของการฝึกท่าต่าง ๆ ของโยคะต้องการพื้นที่เพียงประมาณสามตารางเมตรเท่านั้น

2. อุปกรณ์น้อย –  สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นหลังเดินไปไหนมาไหนตลอดเวลา ยิ่งมีสัมภาระน้อยชิ้นยิ่งเพิ่มความคล่องตัวให้กับการเดินทาง การออกกำลังด้วยโยคะซึ่งไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ หรืออาจจะใช้เพียงเสื่อโยคะหนึ่งผืน จึงค่อนข้างสะดวกเป็นอย่างยิ่ง

3. ไม่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ – โยคะเป็นหนึ่งในการออกกำลังกายไม่กี่ชนิดที่สามารถออกกำลังได้ทุกวันโดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกอย่างไร ผู้ฝึกโยคะก็ยังสามารถเลือกหามุมสงบส่วนตัวและเริ่มต้นฝึกท่าต่าง ๆ ได้โดยไม่เดือดร้อน

4. ยืดเหยียดคลายปวดเมื่อยได้ดี –  การต้องแบกสัมภาระใบโตบนหลังเดินไปเดินมาทั้งวัน แน่นอนว่าต้องทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเป็นที่สุด ท่าต่าง ๆ ของโยคะซึ่งเน้นการยืดเหยียดของกล้ามเนื้อ แถมยังทำได้ทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก จึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้น

5. โพสต์ท่าโยคะถ่ายรูปกับสถานที่ต่าง ๆ ได้ –  หลายท่าของโยคะมีความสวยงามประณีต นักท่องเที่ยวบางรายจึงโปรดปรานที่จะโพสต์ท่าโยคะประกอบกับฉากหลังที่เป็นวิวธรรมชาติ ทำให้ภาพที่ได้ออกมาแปลกตาไม่เหมือนใคร

โยคะกับการเดินทาง สร้างประสบการณ์ สร้างสติ

นักเดินทางท่องโลกหลายคนกล่าวว่าตนเองได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อฝึกจิตใจ เพื่อให้ได้รู้จักตนเอง แท้จริงแล้วการฝึกโยคะก็เช่นกัน จุดประสงค์มุ่งหมายก็เพื่อให้ผู้ฝึกได้มีสติรู้จักตนเองให้ดี เมื่อรู้จักตนเองดีแล้วย่อมเข้าใจชีวิตและสรรพสิ่งต่าง ๆ   บางครั้งการฝึกโยคะก็ไม่ต่างกับการเดินทาง คือเราต้องใช้เวลาเดินทางไปให้ถึงแต่ละจุดหมายที่วางแผนไว้ เมื่อถึงแล้วก็หยุดพิจารณาความหมายของแต่ละสถานที่ให้เข้าใจ จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไป จนถึงวันหนึ่งที่ได้เดินทางไปรอบโลกได้สำเร็จ เช่นเดียวกับการพิจารณาจิตใจตัวเองโดยรอบได้สมบูรณ์ ถึงวันนั้นเราคงค้นพบคำตอบที่เราตามหาได้ในที่สุด

รู้อย่างนี้แล้ว ทุกครั้งที่เก็บกระเป๋าออกเดินทางไกล อย่าลืมพกพาการออกกำลังกายง่าย ๆ อย่างโยคะนำไปใช้เสมอ นอกจากจะได้ประโยชน์จากสุขภาพที่ดีแล้ว ยังได้สติจากการฝึกสมาธิ พร้อมรับทุกสถานการณ์ในทุกประสบการณ์ใหม่ ๆ ของการผจญโลกกว้างอีกด้วย

นอนไม่หลับอยู่ใช่ไหม โยคะช่วยได้!

เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยมีประสบการณ์เผชิญกับปัญหาหลับยาก หรืออาการนอนไม่หลับอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต การนอนไม่หลับฟังดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต แต่เจ้าปัญหาไม่ใหญ่ที่ว่านี้กลับทำให้เกิดความรู้สึกทรมานจิตใจและยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนเราอย่างมาก แต่ข่าวดีคือปัญหาดังกล่าวสามารถรักษาได้ไม่ยากนัก โดยโยคะก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่ถูกนำมาใช้บำบัดอาการนอนไม่หลับอย่างได้ผลและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

การฝึกโยคะเพื่อรักษาความผิดปกติด้านการนอน

ความผิดปกติด้านการนอน (Sleep disorder) เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญในสังคมอย่างไม่น่าเชื่อ โดยพบว่าร้อยละ 30 ของประชากรมีปัญหาการนอนหลับได้ยาก เนื่องจากความเครียด ความฟุ้งซ่าน การทำงานหรือพักผ่อนอย่างไม่เป็นเวลา และการขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม  มีส่วนน้อยมากที่ปัญหาดังกล่าวจะเกิดจากความผิดปกติของสมองและเส้นประสาทโดยตรง  และหากความผิดปกติด้านการนอนดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งเรื้อรังยาวนานเกินกว่า 3 สัปดาห์โดยไม่ได้รับการบำบัดแก้ไข ผู้ป่วยจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผู้มีความผิดปกติด้านการนอนแบบเรื้อรัง ซึ่งจะเริ่มส่งผลกับระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำให้เกิดโรคอื่นตามมาก ในบางกรณีแพทย์อาจจำเป็นต้องพิจารณาใช้ยานอนหลับเพื่อช่วยรักษาร่วมด้วย

งานวิจัยหนึ่งในประเทศอินเดีย นักวิจัยได้ทดลองให้ผู้มีความผิดปกติด้านนอนแบบเรื้อรังเข้ารับการรักษาในโปรแกรม 10 สัปดาห์ของการฝึกโยคะพร้อมจดบันทึกติดตามการนอนหลับของผู้มีปัญหาความผิดปกติด้านการนอนอย่างต่อเนื่องทุกวัน พบว่าผู้ป่วยดังกล่าวมีพัฒนาการของประสิทธิภาพการนอน (sleep efficiency) เวลาที่ใช้ในการนอนหลับ (total sleep time) จำนวนครั้งที่ตื่นขึ้นระหว่างนอน (total wake time) และระยะเวลาเข้าสู่ภาวะหลับ (sleep onset latency) ดีขึ้นมาก ซึ่งวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ชัดเจน  และสำหรับบุคคลทั่วไปที่ทำการฝึกฝนโยคะสม่ำเสมอพบว่ามีคุณภาพการนอนหลับดีกว่าปกติ โดยมีช่วงคลื่นสมองของการหลับลึกยาวนานกว่าคนทั่วไป

การนอนที่มีประสิทธิภาพ สร้างชีวิตที่มีประสิทธิผล

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินผู้คนพูดว่า “การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด” ทั้งนี้เนื่องจากการนอนที่มีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้สมองได้รับการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพหลังจากถูกใช้งานมาทั้งวันได้อย่างเต็มที่ การนอนหลับพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพจึงส่งผลให้สมองได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ จะคิดอ่านการใดก็ไม่ติดขัด ส่งผลดีต่อทั้งหน้าที่การใช้ความคิดและความสามารถในการจดจำในชีวิตประจำวันของเรา การนอนที่ดีจึงสร้างชีวิตที่ดีตามมานั่นเอง

หากวันนี้คุณเป็นหนึ่งในผู้มีปัญหาการนอน ไม่ว่าจะเป็นการการนอนหลับยาก ไม่สามารถนอนหลับต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน หลับได้ไม่สนิท หลับไม่ลึก หรือแม้แต่การนอนหลับได้แต่รู้สึกไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย วันนี้อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะเริ่มให้ความสนใจกับโยคะ หนึ่งในการออกกำลังกายที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสามารถช่วยบำบัดปัญหาการนอนอย่างได้ผล

“ปราณายามะ” ลมหายใจของโยคะ

ศาสตร์แห่งโยคะได้รับการบันทึกรวบรวมตำราเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกโดยปตัญจลี (Patanjali) ซึ่งกล่าวว่าโยคะเป็นการฝึกเพื่อควบคุมจิตใจให้สงบนิ่ง ช่วยให้พลังงานชีวิตไหลเวียนทั่วร่างกายโดยไม่ติดขัด ซึ่งหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ผู้ฝึกจะต้องเรียนรู้คือการฝึกกำหนดลมหายใจของตนเองให้เป็นระบบเพื่อให้เกิดสติรู้จักตัวตน การฝึกปราณายามะจึงนับว่าเป็นการฝึกสมาธิวิธีหนึ่งนั่นเอง

วิธีฝึกหายใจแบบปราณายามะอย่างง่าย

ปราณายามะ (Pranayama) เกิดจากการสมาสศัพท์ในภาษาสันสกฤต 2 คำ คือ ปราณา (Prana) หมายถึง ลมหายใจหรือชีวิต และอยามะ(Ayama) หมายถึงการยืดอกและกลั้นลมหายใจเอาไว้ ดังนั้นหลักในการฝึกปราณายามะจึงประกอบไปด้วย การฝึกหายใจเข้า การฝึกหายใจออก และการฝึกกลั้นลมหายใจ การหายใจแบบปราณายามะขั้นต้นจะฝึกหายใจเข้าและออกสลับไปกับแต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติท่าต่าง ๆ ของโยคะ โดยจะหายใจเข้าเมื่อเริ่มปฏิบัติท่า หายใจออกเมื่อคลายท่า (หรือกลับกันขึ้นกับท่าที่ปฏิบัติ) โดยแต่ละท่าจะหายใจเข้าออกสลับกันไปประมาณ 4-6 ครั้ง

วิธีฝึกการหายใจแบบเบื้องต้นในทางโยคะที่ได้รับความนิยมที่สุดคือการฝึกหายใจเข้าออกสลับกับการปฏิบัติท่าโยคะสามารถทำโดยอาศัยหลักที่ว่า ร่างกายหายใจเข้าเพื่อนำลมหายใจมาใช้สร้างพลังงาน ดังนั้นจังหวะในการหายใจเข้าคือเมื่อเริ่มเต้นข้าสู่ท่าของโยคะ เมื่อถึงจังหวะที่ต้องออกแรงให้กล้ามเนื้อหดตัวหรือจำเป็นต้องเกร็งตัวผู้ฝึกจะเริ่มกลั้นลมหายใจไว้และเคลื่อนไหวในช่วงเวลาสั้น ๆ ส่วนจังหวะการหายใจออกคือเมื่อเข้าสู่การคลายตัวของกล้ามเนื้อหรือการคลายท่าทางที่ปฏิบัติอยู่เพื่อกลับเข้าสู่สภาวะปกติ การฝึกปฏิบัติซ้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเรียนรู้ที่จะปรับตัวและมีความยืดหยุ่นสอดคล้องในการยืดเหยียดท่าทางต่าง ๆ ตามลักษณะการหายใจของผู้ฝึกในที่สุด

การหายใจผิดจังหวะขณะฝึก มีผลเสียอย่างไร

สำหรับผู้เริ่มต้นฝึกโยคะใหม่ ๆ อาจมีข้อสงสัยขึ้นมาในใจว่าหากตนหายใจผิดจังหวะหรือไม่ใส่ใจที่จะฝึกการหายใจควบคู่ไปกับการฝึกโยคะด้วยจะเป็นอะไรหรือไม่ คำตอบคือผู้ฝึกอาจไม่ได้รับผลดีของการฝึกโยคะสูงสุดเท่าที่ควรจะได้ และอาจเกิดการบาดเจ็บของอวัยวะบางอย่างระหว่างปฏิบัติโยคะบางหากไม่ระวังให้ดี เนื่องจากการฝึกหายใจเข้าออกดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อให้กล้ามเนื้อสามารถนำออกซิเจนในลมหายใจไปใช้ได้สูงสุด อีกทั้งยังช่วยให้การหดคลายของกล้ามเนื้อกระบังลม ซึ่งมีลักษะเป็นแผ่นกั้นระหว่างช่องออกและช่องท้องของมนุษย์ เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม ซึ่งหากไม่ระวังในการหายใจให้ดีอาจทำให้หายใจผิดจังหวะจนเกิดอาการจุกเสียด อวัยวะภายในถูกเบียดมากกว่าปกติ หรือในบางกรณีอาจเกิดอาการสะอึกเนื่องมาจากการทำงานของกล้ามเนื้อกระบังลมและการหายใจไม่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้การไม่เรียนรู้ที่จะฝึกหายใจให้ถูกต้องควบคู่ไปกับการฝึกโยคะ ยังทำให้ผู้เรียนพลาดที่จะได้ฝึกสติรู้เท่าทันการเคลื่อนไหวตนเอง ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิชนิดหนึ่งด้วย

ดังนั้นแล้วการฝึกโยคะให้ประสบผลสำเร็จสูงสุด นอกจากการเรียนรู้ที่จะปฏิบัติท่าทางต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามหลักแล้ว ผู้ฝึกจำเป็นต้องใส่ใจในการฝึกหายใจแบบปราณายามะอย่างระมัดระวังร่วมด้วยเช่นกัน หากสามารถปฏิบัติท่าได้สวย หายใจถูกวิธี ทั้งผลของสุขภาพที่ดีและสมาธิสติย่อมบังเกิดแก่ผู้ฝึกอย่างแน่นอน

เหตุใดโยคะจึงเรียก “ต่อมไพเนียล” ว่าเป็นตาที่สามของมนุษย์?

ผู้ฝึกโยคะหลายท่านคงจะคุ้นเคยดีกับทฤษฏีจักระทั้ง 7 (Chakras) ซึ่งหมายถึงจุดตัดลมปราณอันเป็นแหล่งพลังงานชีวิตที่สำคัญทั้ง 7 แห่งตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย โดยนับขึ้นมาจากตำแหน่งแรกที่ปลายสุดของกระดูกก้นกบเรื่อยมาจนถึงตำแหน่งที่สูงที่สุด คือจุดตัดตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้งสองอันเป็นตำแหน่งของ สหัสสราระ (Crown ChakraSahasrara) ซึ่งในทางโยคะเชื่อกันว่าเป็นตำแหน่งของตาที่สาม ซึ่งเป็นดวงตาที่เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเรา โดยต่อมาได้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบในทางวิทยาศาสตร์และเชื่อกันว่าตำแหน่งดังกล่าวนั้นคือตำแหน่งของต่อมไพเนียล หนึ่งในต่อมไร้ท่อที่สำคัญของมนุษย์

ต่อมไพเนียลในทางวิทยาศาสตร์กับความเกี่ยวข้องกับตาที่สาม

ตามความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ ต่อมไพเนียล (Pineal gland) เป็นต่อมไร้ท่อเพียงชนิดเดียวที่ทำงานขึ้นกับอิทธิพลของแสงสว่างที่เรามองเห็น โดยเมื่อมีแสงมากตกกระทบกับดวงตาของคนเราจะเกิดการนำกระแสประสาทไประงับการทำงานของต่อมไพเนียล ทำให้ต่อมไพเนียลไม่สามารถหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินออกมาได้ ตรงกันข้ามกับช่วงเวลาที่ไม่มีแสงหรือช่วงกลางคืน ต่อมไพเนียลจะถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งช่วยในการนอนหลับของคนเราออกมา ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเพราะต่อมไพเนียลมีบทบาทสำคัญให้เกิดการหลับลึกและเกิดความฝัน สอดคล้องกับลักษณะของตาที่สามที่เชื่อว่าเป็นดวงตาที่เชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณของคนเรา  การฝึกโยคะที่จดจ่อต่อตำแหน่งเดียวกับบริเวณของต่อมไพเนียลจึงอาจจะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไพเนียลให้หลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินได้มากขึ้น และทำให้เกิดภาวะเข้าสู่สมาธิในระดับลึกได้ในทำนองเดียวกับการทำให้เกิดการหลับลึกเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่าในสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดอย่างกิ้งก่าทัวทารา (Tuatara) กิ้งก่ายุคดึกดำบรรพ์ซึ่งมีต้นกำเนิดในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ (ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ที่เกาะทางใต้ของประเทศนิวซีแลนด์)  พบต่อมไพเนียลยื่นเหนือส่วนหัวอยู่ในส่วนกลางของกระหม่อมและทำหน้าที่ในการรับแสงได้เช่นเดียวกับดวงตา ในบางครั้งจึงอาจเรียกกิ้งก่าทัวทาราว่ากิ้งก่าสามตาก็ได้  กรณีที่ต่อมไพเนียลของเจ้ากิ้งก่าสามตาสามารถรับแสงได้เช่นเดียวกับดวงตานี้ยิ่งตอกย้ำสมมุติฐานว่าต่อมไพเนียลอาจจะทำหน้าที่เป็นตาที่สามของมนุษย์ดังที่มีบันทึกไว้ในทางโยคะได้ด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในปัจจุบันผู้คนจึงเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าจักระที่ 7 หรือตาที่สามที่ถูกกล่าวถึงในทางโยคะนั้น ก็คือต่อมไพเนียลของมนุษย์นั่นเอง

การเปิดขึ้นของตาที่สามทางโยคะกับต่อมไพเนียล

จากทฤษฏีความเชื่อของเรื่องจักระทั้ง 7 ของมนุษย์ ในทางโยคะมีความเชื่อว่าหากผู้ฝึกโยคะสามารถฝึกฝนจนสามารถกระตุ้นจักระทั้ง 6 ได้แก่ มูลธาร สวาธิษฐาน มณีปุระ อนาหตะ วิศทะ และอะชะ ได้แล้ว  จักระตำแหน่งสุดท้ายจะถูกกระตุ้นตามมาด้วยเช่นกัน  สอดคล้องกับการทำงานของต่อมไพเนียลซึ่งมีหน้าที่ในการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินเพื่อไปยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน FSH และ LH ที่ถูกหลั่งจากต่อมใต้สมอง ช่วยควบคุมสมดุลไม่ให้ FSH และ LH มีปริมาณมากเกินไป  ดังนั้นการกระตุ้นต่อมใต้สมองจนเกิดการหลั่ง FSH และ LH ในปริมาณมาก ย่อมส่งผลให้ต่อมไพเนียลเกิดการกระตุ้นเพื่อหลั่งฮอร์โมนเมลานินมายับยั้งฮอร์โมนดังกล่าวในเวลาต่อมานั่นเอง

คำกล่าวที่ว่าตาที่สามคือดวงตาที่สามารถเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเรา ทำให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจสรรพสิ่งต่าง ๆ แท้จริงแล้วอาจจะหมายถึงการฝึกสมาธิให้รู้จักหยุดนิ่งเพื่อพิจารณาจิตใจของตนเองให้ดี เพราะเมื่อเราสามารถเข้าใจกลไกจิตใจของตัวเองได้ดีแล้ว เราก็ย่อมเข้าใจทุกสรรพสิ่งตามมาเช่นกัน

“โยคะ” หนึ่งในการออกกำลังกายที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม

ในปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตอย่างมาก คนรุ่นใหม่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดีเพื่อชีวิตที่ยืนยาวและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยเหตุนี้ “โยคะ” จึงได้กลายมาเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีผลงานวิจัยทางวิชาการมากมายออกมาให้การรับรองว่าโยคะมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมวัยของมนุษย์อย่างได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอความเสื่อมของสมอง อวัยวะที่เปรียบเสมือนแม่ทัพใหญ่ของร่างกายมนุษย์

ภาวะสมองเสื่อม ความเสี่ยงสูงในผู้สูงอายุ

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คือ ภาวะที่สมองสูญเสียความสามารถในการจดจำ การคิดวิเคราะห์และทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้แย่ลง ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้สูงอายุที่ตกอยู่ในภาวะสมองเสื่อมสูงถึง 50 ล้านคน และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 10 ล้านคนในทุกปี โดยประมาณ 60-70% ของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมจะป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์(Alzheimer) หรือโรคความจำเสื่อมจากการตายของเซลล์ประสาท ทำให้ผู้ป่วยมีอาการลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแบบถาวร ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หลายรายถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้พิการไม่สามารถอยู่อาศัยโดยลำพัง จำเป็นต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด บางครอบครัวแบกรับภาระไม่ไหวเพราะเกินกำลังจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในที่สุด

ในปี 2014 ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Teesside ประเทศอังกฤษได้ออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย The Happy Antics Program สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคภาวะสมองเสื่อม และค้นพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ออกกำลังกายด้วยการฝึกโยคะ มีการตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การออกกำลังกายด้วยโยคะยังมีส่วนช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้อย่างได้ผล เนื่องจากลักษณะการออกกำลังกายของโยคะที่เน้นให้ผู้ฝึกเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจ ช่วยให้สมองเกิดการเชื่อมโยงข้อมูลในเชิงลึกและประสานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าเป็นการบริหารทั้งส่วนของร่างกายและสมองไปในคราวเดียวกัน อีกทั้งลักษณะการเคลื่อนไหวในการฝึกที่เชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไป ไม่กระแทกลงน้ำหนักรุนแรง ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของผู้ป่วย โยคะจึงเป็นทั้งการบำบัดและการออกกำลังที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมสูงเป็นอย่างดี

สมองดี ชีวิตดี สูงวัยอย่างมีคุณภาพ

นอกจากสมองจะทำหน้าที่ในการคิดอ่านประมวลผลในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน สมองยังเป็นคลังความรู้ชั้นยอดที่เก็บรักษาประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของคนเราไว้มากมาย ซึ่งช่วยให้มนุษย์ต่อยอดความคิดอ่านเพื่อพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ดังนั้นการดูแลรักษาสมองไม่ให้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาจึงเป็นเรื่องที่เราควรต้องให้ความสำคัญ จริงอยู่ว่าความชราเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่การวางแผนชีวิตที่ดีจะทำให้เราสามารถก้าวเข้าสู่วัยชราได้อย่างมีคุณภาพ เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม

การก้าวเข้าสู่วัยชราอาจไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด หากเรามีการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี โดยเฉพาะสมองที่ยังมีประสิทธิภาพในการคิดอ่านและจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในวันที่ยังเป็นหนุ่มสาวสุขภาพแข็งแรง อย่าลืมที่จะใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีต่อไปด้วย

ข้อดีของการพาลูก ๆ ของคุณเข้าสู่วงการโยคะ ที่ได้มากกว่าความแข็งแรงของร่างกาย

เด็กในปัจจุบันมักจะสงบและแม่ ๆ ก็เลือกให้ลูก ๆ ของตนจบอารมณ์ร้องไห้หรือเสียใจด้วยการยื่นมือถือให้ลูก ๆ ซึ่งเราจะเห็นได้บ่อยมากที่พ่อแม่รุ่นใหม่นิยมให้ลูก ๆ เล่นมือถือหรือสมาร์ทโฟนต่าง ๆ ในการรับรู้สิ่งแปลกใหม่ หรือเพียงเพื่อหยุดเวลาให้ลูก ๆ ของตนไปกับสิ่งเหล่านั้น แม้พ่อแม่บางคนจะรู้ถึงผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้แต่บางครอบครัวก็ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทางที่ดีพ่อแม่ควรพาลูก ๆ ทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจกับไอทีเหล่านั้น และเพื่อสร้างสุขนิสัยที่ดีขึ้นจะดีกว่า ซึ่งการพาลูกไปร่วมเล่นโยคะด้วยกันนั้น นอกจากจะสร้างความแข็งแรงในด้านสุขภาพให้กับลูกแล้ว การเล่นโยคะยังมอบสิ่งดี ๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึงได้อีกด้วย

การเล่นโยคะที่ส่งผลดีในด้านต่าง ๆ ให้กับเด็ก ๆ

          -สร้างสมาธิให้กับเด็ก ๆ ขณะเล่นโยคะ เพราะการเล่นโยคะจะเน้นการเคลี่อนไหวร่างกายส่วนต่าง ๆ ด้วยความเชื่องช้าให้สัมพันธ์กับลมหายใจ นั่นจึงทำให้เด็ก ๆ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการจดจำท่าทางในการเล่น และมีสมาธิกลัวว่าจะทำท่าทางผิดไป จึงส่งผลให้ขณะเล่นโยคะเด็ก ๆ จะมีสมาธิมากขึ้นเสมือนกับการนำศิลปะให้เด็ก ๆ เรียนรู้ในการฝึกสมาธิ ซึ่งหากพ่อแม่พาลูก ๆ ของตนฝึกเล่นโยคะอย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ จะทำให้เด็กมีสมาธิคงที่มากขึ้นได้เลยทีเดียว แต่การพาเด็ก ๆ ฝึกสมาธิด้วยการเล่นโยคะนี้คงมีข้อจำกัดสักหน่อย คือควรเป็นเด็กที่อายุราว ๆ 5 ขวบขึ้นไป เพราะช่วงวัยนี้เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้และพาฝึกสมาธิได้ เพราะหากเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ คงเบื่อกับการทำสิ่งเดิม ๆ ได้เร็วกว่านั่นเอง

          -ส่งผลทางอ้อมต่อการเรียนของเด็ก ๆ ได้ เมื่อเด็ก ๆ มีสมาธิมากขึ้น จึงส่งผลต่อการเรียนรู้และการจดจำของเด็ก ๆ เพราะเด็ก ๆ ในปัจจุบันนี้บกพร่องในด้านสมาธิสั้นกันค่อนข้างเยอะ ซึ่งเด็กที่มีสมาธิสั้นจะทำให้มีผลการเรียนที่ตกต่ำลง เนื่องจากจะไม่สามารถทนรับรู้หรือรับฟังต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะเวลานานได้ ดังนั้นการเล่นโยคะที่สามารถทำให้เด็ก ๆ มีสมาธิมากขึ้น จึงส่งผลให้เด็ก ๆ อยู่นิ่งต่อกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเป็นระยะเวลานานขึ้น ทั้งการเรียนและการอ่านหนังสือได้

          -ด้านอารมณ์และจิตใจ เมื่อเด็กเรียนรู้ในการมีสมาธิ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีความนิ่งขึ้น จึงส่งผลทางด้านอารมณ์ให้เด็ก ๆ มีจิตใจที่เย็นลง ลดความซุกซนและควบคุมอารมณ์ให้นิ่งขึ้นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเด็กดีขึ้น ทำให้เป็นคนมีจิตใจดี ใจเย็น และชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย

          การพาลูก ๆ ของคุณร่วมทำกิจกรรมใดด้วยกันรวมทั้งการเล่นโยคะพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อหรือแม่ นอกจากจะสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายได้แล้ว ยังส่งผลดีทางด้านอารมณ์และจิตใจของเด็กได้อีกด้วย

โยคะกับการเล่นนอกสถานที่ ช่วยสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกายได้อย่างมากมายและลงตัว

ใคร ๆ ก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าการเล่นโยคะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นแล้ว การเล่นโยคะยังสามารถช่วยในเรื่องการผ่อนคลายได้มากกว่าหากเทียบกับการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ  ทั้งการเล่นโยคะยังช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ด้วย เนื่องจากจะเน้นการเล่นด้วยท่วงท่าที่มีการยืดเหยียดอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ร่างกายทุกส่วนได้อย่างลงตัวอีกด้วย

การเล่นโยคะกับสถานที่แตกต่างกันไปย่อมสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับร่างกายและจิตใจได้อย่างลงตัว

          การเล่นโยคะนับว่าเป็นการออกกำลังกายที่สามารถได้ง่าย และทำได้ทุกที่ หากคุณไม่สะดวกเดินทางไปสวนสาธารณะหรือฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายแล้วล่ะก็ คุณก็ยังสามารถเล่นโยคะได้ด้วยตนเองที่บ้าน เพียงแค่มีเสื่อโยคะก็สามารถเริ่มเล่นที่ไหน เวลาใดก็ได้ตามที่คุณสะดวก ซึ่งการเล่นโยคะต่างสถานที่แตกต่างกันไป ก็ย่อมสร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่ให้กับร่างกายได้ด้วย

มาดูประโยชน์ที่ได้จากการเล่นโยคะตามสถานที่ต่าง ๆ กัน

          -ได้เปลี่ยนบรรยากาศนอกสถานที่แบบเดิม ๆ เช่น ออกไปเล่นโยคะเมื่อคุณเดินทางท่องเที่ยวแต่ก็ยังคงไม่ทิ้งการออกกำลังกายด้วยท่วงท่าที่ง่าย ๆ จากการเล่นโยคะ จะเห็นได้บ่อยขึ้นที่มีผู้คนเล่นโยคะในยามเช้าที่ริมทะเล หรือที่พักที่มีอากาศบริสุทธิ์พร้อมสถานที่สวย ๆ ในยามเช้า การเล่นนอกสถานที่เช่นนี้ทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายจากการเล่นโยคะและความผ่อนคลายในการชื่นชมและรับรู้ความรู้สึกการเล่นโยคะกับที่ใหม่ ๆ แม้ในความเป็นจริงจะเป็นการเล่นโยคะด้วยท่าเดิม กับคนเดิม ๆ ก็ตาม แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากการเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยทำให้คุณรู้สึกถึงความแปลกใหม่นั่นเอง

          -ได้สูดโอโซนอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น หากคุณปูเสื้อโยคะสักผืนและเล่นบริเวณริมชายหาดที่มีอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า หรือบนภูเขาซึ่งมีที่พักสวย ๆ เหมาะกับการไปตากอากาศแล้ว นั่นช่วยทำให้คุณได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์กว่าการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง ซึ่งการสูดอากาศดี ๆ เข้าสู่ร่างกายนั้น ช่วยทำให้ร่างกายรับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและขับคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในร่างกายให้ออกมาอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นการฟอกปอดด้วยวิธีการใช้ธรรมชาติบำบัดได้ทางหนึ่งเลยทีเดียว

          -ได้ไอเดียหรือความคิดในการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ เพราะการออกกำลังกายขณะเล่นโยคะนอกสถานที่ จะทำให้คุณมีสมาธิในการเล่น และยังได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ในแต่ละสถานที่ไปพร้อม ๆ กัน จึงทำให้หลายคนเกิดไอเดียหรือความคิดในการอยากเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ ได้จากการเล่นโยคะนอกสถานที่นี้ เสมือนเป็นการได้ชาร์จแบตให้กับร่างกายและสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายไปพร้อม ๆ กัน

          การเล่นโยคะนอกสถานที่นอกจากฟิตเนสหรือสถานที่เดิม จึงสามารถสร้างความแปลกใหม่ทางความรู้สึก และความรับรู้สิ่งแปลกใหม่ให้กับอารมณ์ได้มากกว่านั่นเอง ซึ่งหากใครสะดวกแบบไหนก็ลองเลือกไปตามสถานที่ที่ตัวเองต้องการกันได้เลย

การขัดผิวหลังการเล่นโยคะร้อน ช่วยทำให้สาว ๆ เผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิมได้

เมื่อพูดถึงการเล่นโยคะไม่ว่าใครก็ต้องรู้ว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากหากเล่นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการเล่นโยคะก็มีหลายประเภทให้เลือกเล่นกันได้ตามสไตล์และความชื่นชอบของแต่ละคน ซึ่งโยคะร้อนก็เป็นโยคะชนิดหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่สาว ๆ ที่รักสุขภาพและผิวพรรณไปพร้อมกัน รวมทั้งการเล่นโยคะร้อนยังช่วยลดน้ำหนักได้รวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับโยคะชนิดอื่น ๆ อีกด้วย และอีกหนึ่งคุณประโยชน์ของโยคะร้อนก็คือ การสร้างผิวใหม่ให้กับสาว ๆ หลังการเล่นได้ด้วยการขัดผิว ถือว่าเป็นทริคที่สำคัญที่ทำให้การปรนนิบัติผิวของสาว ๆ ง่ายขึ้นได้เลยทีเดียว

เพราะเหตุใดการเล่นโยคะร้อนจึงมีผลต่อผิวพรรณของสาว ๆ

          การเล่นโยคะร้อนจะใช้ความร้อนจากอุณหภูมิภายในห้องที่ร้อนมากกว่าอุณหภูมิห้อง นั่นจึงทำให้ขณะเล่นโยคะมีการขับเหงื่อและของเสียออกมาจากร่างกายมากว่าการเล่นโยคะแบบธรรมดา ดังนั้นเมื่อมีการขับเหงื่อและของเสียออกมาทางรูขุมขนแล้ว จึงนับว่าเป็นการเปิดรูขุมขนเพื่อให้ของเสียออกมา ซึ่งโดยปกติการขับของเสียที่ถูกเก็บสะสมภายในร่างกายออกมาก็จะเป็นการสร้างให้ระบบภายในร่างกายดีขึ้นนั่นเอง อีกทั้งเมื่อเล่นโยคะร้อนเสร็จใหม่ ๆ ที่รูขุมขนยังมีการเปิดอยู่ เมื่อสาว ๆ อาบน้ำหลังการเล่นและปรนนิบัติผิวด้วยการขัดหรือสครับผิวแล้วล่ะก็ นั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการดูแลผิวให้ผิวเผยผิวใหม่ที่สดใสได้กว่านั่นเอง

สูตรสครับผิวหลังเล่นโยคะร้อนที่ช่วยเผยผิวขาวใสได้

          –ขมิ้น + น้ำผึ้ง + นมสด 3 สิ่งนี้สามารถช่วยประทินผิวให้กับสาว ๆ ได้ด้วยการนำมาผสมกันและนำมาขัดหรือพอกหลังการเล่นโยคะร้อนที่รูขุมขนยังไม่ปิดตัว นั่นจะช่วยนำพาให้สารประโยชน์ที่มีอยู่ในขมิ้น น้ำผึ้งและนมสดเข้าสู่ผิวชั้นในได้โดยง่าย อีกทั้งการขัดผิวยังเป็นการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป จึงทำให้ผิวพรรณสวยสดใสกว่าเดิมได้

          -มะขามเปียก + นมสด + โยเกิร์ต นำ 3 สิ่งนี้มาผสมในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน มะขามเปียกจะช่วยขัดและสครับเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออกไป และนมสดพร้อมกับคุณประโยชน์เด่นของโยเกิร์ตที่เด่นในเรื่องการสร้างผิวนุ่มและชุ่มชื้นที่ผสมโรงเข้ามาร่วมทีม จึงทำให้การสครับผิวด้วยสูตรนี้หลังการเล่นโยคะร้อนจึงทำให้ผิวดูขาวใส ซึ่งสาว ๆ สามารถสัมผัสได้ทันทีหลังขัดเพียงครั้งแรก

          นอกจากการเล่นโยคะร้อนที่สร้างคุณประโยชน์ในด้านความแข็งแรงของสุขภาพให้กับทุกคนแล้ว การปรนนิบัติผิวหลังการเล่นโยคะร้อนอย่างเป็นประจำก็สามารถช่วยทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ ดูขาวและเปล่งปลั่งที่มาพร้อมความนุ่มและชุ่มชื้นได้อีกด้วยนะ

โยคะกับการปรนนิบัติผิวสาวให้ขาวใส ทำได้ด้วยการเล่นโยคะเป็นประจำ

การเล่นโยคะนับว่าเป็นศาสตร์แห่งการออกกำลังอีกศาสตร์หนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะการเล่นโยคะสามารถทำได้ทุกเพศและทุกวัย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยไหนก็สามารถออกกำลังกายด้วยท่วงท่าเบา ๆ กับโยคะได้ เพราะการออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นอาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องน้ำหนักตัว เช่น หากคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ ๆ ก็คงจะลำบากในการต้องออกไปวิ่งออกกำลังกายซึ่งอาจบาดเจ็บจากแรงกระแทกได้ แต่สำหรับโยคะนั้นจะมีท่าที่เหมาะสมที่คุณสามารถเลือกให้เหมาะสมกับคุณได้นั่นเอง ซึ่งการเล่นโยคะที่ช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดีแล้ว การเล่นโยคะยังช่วยขับของเสียได้ด้วยจึงทำให้คนที่เล่นโยคะเป็นประจำมีผิวพรรณเปล่งปลั่งนั่นเอง

เพราะเหตุใดการเล่นโยคะจึงช่วยทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ เปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีขึ้นได้

            -อันดับแรกที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่าเลยนั่นก็คือ การเล่นโยคะได้มีการยืดเหยียดด้วยการยืดเส้นยืดสายตามร่างกาย เนื่องจากการเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน บางคนอาจจะนั่งทำงานที่เดิม และนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ซ้ำ ๆ จึงทำให้เกิดการขดเกร็งของกล้ามเนื้อและเส้นต่าง ๆ ตามร่างกายได้ ดังนั้นเมื่อคุณลงมือเล่นโยคะแล้ว จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายเส้นที่ตึงมาทั้งวันนั่นเอง ทำให้มีการสร้างความผ่อนคลายแก่ร่างกายเส้นเลือดต่าง ๆ ก็คลายตัวทำให้คุณสบายอารมณ์ จึงส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นได้

          -สร้างสมดุลระบบการหมุนเวียนเลือดในร่างกายให้เป็นปกติ เนื่องจากท่วงท่าในการเล่นโยคะที่เน้นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ และท่าที่ต้องมีการยืดเหยียดจึงทำให้ขณะเล่นโยคะ เส้นเลือดรวมถึงระบบเลือดภายในร่างกายได้หมุนเวียนอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น จึงส่งผลให้เกิดความสมดุลภายในร่างกายจนทำให้ผิวของสาว ๆ ดูขาวผ่องและสดใสขึ้นนั่นเอง

-ขับถ่ายของเสียออกจากเหงื่อที่ออกมา จึงเสมือนเป็นการขับของเสียที่ไม่จำเป็นให้ออกจากร่างกาย และโดยเฉพาะโยคะร้อนที่ต้องเล่นในห้องอุณหภูมิที่มีความร้อนมากกว่าอุณหภูมิปกติแล้วล่ะก็ ยิ่งจะทำให้มีการขับเหงื่อและของเสียต่าง ๆ ออกมาทางรูขุมขนได้ดีขึ้น จึงทำให้รูขุมขนได้เปิดเพื่อขับสิ่งสกปรกออกมา จึงเท่ากับเป็นการขับให้ของเสียออกมาพร้อมเผยผิวใหม่นั่นเอง

ข้อดีของการเล่นโยคะมีอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ข้อดีเบื้องต้นที่เห็นได้ชัดเจนหากมีการเล่นอย่างสม่ำเสมอสำหรับสาว ๆ นั่นก็คือ การทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ มีความเปล่งปลั่งและดูสดใสมากกว่าสาว ๆ ที่ไม่ออกกำลังกายเลย ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและสดใสแล้ว เมื่อมีการขับของเสียออกจากร่างกายอย่างเป็นระบบแล้ว จึงทำให้สาว ๆ มีผิวที่ขาวใสขึ้นได้จากสมดุลภายในร่างกายนั่นเอง